https://so17.tci-thaijo.org/index.php/BASSBJ/issue/feed วารสารบริหารธุรกิจศรีนครินทรวิโรฒ 2025-03-15T00:00:00+07:00 Srinakharinwirot Business Journal mbasbj@gmail.com Open Journal Systems <p> วารสารบริหารธุรกิจศรีนครินทรวิโรฒ เป็นวารสารทางวิชาการ จัดทำโดย คณะบริหารธุรกิจเพื่อสังคม มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ โดยจัดทำเป็นวารสารราย 6 เดือน (ปีละ 2 ฉบับ)</p> <p><strong>วัตถุประสงค์</strong></p> <p> 1. เพื่อเผยแพร่ผลงานทางวิชาการหรือวิจัยในสาขาวิชาบริหารธุรกิจ ได้แก่ การตลาด การจัดการ การเงิน การบัญชี ธุรกิจระหว่างประเทศ การท่องเที่ยวและการโรงแรม </p> <p> 2. เพื่อให้บริการทางวิชาการในสาขาบริหารธุรกิจ ได้แก่ การตลาด การจัดการ การเงิน การบัญชี ธุรกิจระหว่างประเทศ การท่องเที่ยวและการโรงแรม </p> <p> 3. เพื่อสร้างเครือข่ายและพัฒนาองค์ความรู้ในสาขาวิชาบริหารธุรกิจ ได้แก่ การตลาด การจัดการ การเงิน การบัญชี ธุรกิจระหว่างประเทศ การท่องเที่ยว และการโรงแรม และสาขาเศรษฐศาสตร์</p> <p><strong>ประเภทผลงานที่รับพิจารณาตีพิมพ์ (ภาษาไทย/ ภาษาอังกฤษ)</strong></p> <p> 1. บทความวิจัย (Research article)</p> <p> 2. บทวิจารณ์วิชาการ (Critique/ Discussion paper) </p> <div id="focusAndScope"> <div id="focusAndScope"> <p><strong>กำหนดการออกเผยแพร่</strong><strong> (Publication Frequency) </strong></p> <p> - <strong><u>ฉบับที่ 1</u></strong> เดือนมกราคม – มิถุนายน</p> <p> - <strong><u>ฉบับที่ 2</u></strong> เดือนกรกฎาคม - ธันวาคม </p> <p><strong>ระยะเวลาในการรับพิจารณาบทความ</strong></p> <p> - <strong><u>ฉบับที่ 1</u></strong> เดือนมกราคม – เมษายน</p> <p> - <strong><u>ฉบับที่ 2</u></strong> เดือนกรกฎาคม – ตุลาคม</p> <p><strong>ค่าธรรมเนียมการตีพิมพ์ (</strong><strong>Article Processing Charges) </strong><strong><br /></strong> วารสารไม่มีการเก็บค่าธรรมเนียมการตีพิมพ์ </p> <p><strong>Peer Review Process</strong></p> <p> บทความทุกบทความที่ส่งพิจารณาตีพิมพ์ในวารสารบริหารธุรกิจศรีนครินทรวิโรฒ จะต้องผ่านการพิจารณาโดยผู้ทรงคุณวุฒิจำนวน 3 ท่าน ซึ่งเป็นการประเมินคุณภาพแบบผู้พิจารณาไม่ทราบชื่อผู้แต่ง และผู้แต่งไม่ทราบชื่อผู้พิจารณา (Double blinded peer review) ซึ่งบทความแต่ละเรื่องจะต้องผ่านการพิจารณาจากผู้ทรงคุณวุฒิ จำนวนอย่างน้อย 2 ใน 3 ซึ่งเมื่อผ่านการพิจารณาในขั้นแรกแล้ว ผู้เขียนจะต้องแก้ไขตามคำแนะนำของผู้ทรงคุณวุฒิ และจะต้องผ่านการตรวจสอบการแก้ไขจากกองบรรณาธิการว่ามีการแก้ไขอย่างถูกต้องจึงจะผ่านการพิจารณาตีพิมพ์ หลังจากนั้นทางวารสารฯ จึงจะออกหนังสือรับรองการตีพิมพ์ให้ผู้เขียนบทความต่อไป</p> <p><strong>ฐานข้อมูลวารสาร</strong></p> <p> ได้รับการรับรองคุณภาพวารสารจากศูนย์ดัชนีการอ้างอิงวารสารไทย (TCI) กลุ่มที่ 2</p> <p><strong>การติดต่อวารสาร</strong></p> <p> คณะบริหารธุรกิจเพื่อสังคม มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ 114 สุขุมวิท 23 กรุงเทพฯ 10110 โทรศัพท์ 0-2649-5000 ต่อ 11754, 0-2169-1018 E-mail Address: <a href="mailto:mbasbj@gmail.com">mbasbj@gmail.com</a></p> </div> </div> https://so17.tci-thaijo.org/index.php/BASSBJ/article/view/761 ความอ่อนไหวของค่าตอบแทนตามผลงาน และการออกเสียงในวาระค่าตอบแทนผู้บริหารในประเทศสหรัฐอเมริกา 2025-01-27T18:46:44+07:00 วิชาวดี ราชเจริญกิจ wichawadee@gmail.com รสิตา สังข์บุญนาค supaporns@g.swu.ac.th วัฒนชัย แสงสุวรรณ wattanachai@tbs.tu.ac.th <p>การออกเสียงในวาระค่าตอบแทนผู้บริหารในประเทศสหรัฐอเมริกากำหนดให้ผู้ถือหุ้นเป็นผู้ออกเสียงในการประเมินค่าตอบแทนผู้บริหาร และตัดสินใจต่อการออกเสียง รับ หรือ ไม่รับ โครงการค่าตอบแทน โดยผ่านการประเมินความอ่อนไหวของค่าตอบแทนตามผลงาน (Pay-Performance Sensitivity: PPS) โครงการค่าตอบแทนผู้บริหารควรได้รับการอนุมัติเมื่อมูลค่าของ PPS อยู่ในระดับสูง และไม่ควรได้รับการอนุมัติเมื่อมูลค่าของ PPS ต่ำหรือติดลบ อย่างไรก็ตาม มีข้อโต้แย้งว่า โครงการค่าตอบแทนผู้บริหารที่มี PPS สูงเกินไป อาจทำให้ผู้บริหารมีพฤติกรรมหลีกเลี่ยงความเสี่ยง ซึ่งส่งผลกระทบในเชิงลบต่อผลการดำเนินงานของบริษัทในระยะยาว งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาการออกเสียงไม่รับโครงการค่าตอบแทนในกลุ่มบริษัท S&amp;P 1500 ว่ามีความสัมพันธ์ต่อ PPS ที่สูงเกินไปหรือไม่ ตัวแบบงานวิจัยแสดงความสัมพันธ์ระหว่างผลการดำเนินงานของบริษัทและโครงการค่าตอบแทนของผู้บริหาร ชี้ให้เห็นว่า PPS ซึ่งถูกแสดงด้วยตัวแปรหุ่นของกลุ่มตัวอย่างบริษัทที่มีผลการลงคะแนนเสียงไม่รับโครงการค่าตอบแทนเพิ่มสูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญจากปีที่แล้ว การวิเคราะห์แบบจำลองแบบหลายระดับถูกใช้ในการตรวจสอบความสัมพันธ์เพื่อควบคุมอิทธิพลทั้งแบบถาวรและแบบสุ่ม เช่นเดียวกับตัวแปรควบคุมซึ่งถูกนำมาใช้เพื่อควบคุมอิทธิพลที่สำคัญอื่นๆ ต่อโครงการค่าตอบแทนของผู้บริหาร ผลการวิจัยแสดงให้เห็นว่าข้อโต้แย้งที่เกี่ยวข้องกับความอ่อนไหวต่อประสิทธิภาพการจ่ายเงินมากเกินไปได้ถูกรวมไว้ในการออกเสียงซึ่งสามารถขยายขอบเขตของวรรณกรรมที่เกี่ยวข้องกับความอ่อนไหวของค่าตอบแทนตามผลงานและการตัดสินใจออกเสียงและให้คำแนะนำสำหรับผู้ถือหุ้นในการประเมิน</p> 2025-03-15T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2025 วารสารบริหารธุรกิจศรีนครินทรวิโรฒ https://so17.tci-thaijo.org/index.php/BASSBJ/article/view/869 ความสัมพันธ์ระหว่างโครงสร้างเงินทุนกับความสามารถในการทำกำไร และราคาหลักทรัพย์ของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย กลุ่มอุตสาหกรรมทรัพยากร หมวดพลังงานและสาธารณูปโภค 2025-02-17T11:38:25+07:00 ษิรินุช นิ่มตระกูล sirinuch_nim@utcc.ac.th อภิชญา เซ่งล่าย apichaya.senglai@gmail.com <p>การศึกษานี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างโครงสร้างเงินทุนกับความสามารถในการทำกำไรและราคาหลักทรัพย์ของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย กลุ่มอุตสาหกรรมทรัพยากร หมวดพลังงานและสาธารณูปโภค โดยเก็บรวบรวมข้อมูลทุติยภูมิจากงบการเงินประจำปี และฐานข้อมูลสารสนเทศของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ตั้งแต่ปี ค.ศ. 2017-2021 จำนวนกลุ่มตัวอย่างที่ใช้ 53 บริษัท คิดเป็น 265 ชุดข้อมูล และเมื่อคัดกรองข้อมูลที่มีความผิดปกติ คงเหลือจำนวนตัวอย่างทั้งสิ้น 233 ชุดข้อมูล โดยผู้วิจัยวัดโครงสร้างเงินทุนด้วยอัตราส่วนหนี้สินระยะยาวต่อสินทรัพย์รวม และอัตราส่วนหนี้สินรวมต่อส่วนของผู้ถือหุ้น ตัวแปรตามจะศึกษาทั้งความสามารถในการทำกำไรและราคาหลักทรัพย์ โดยวัดความสามารถในการทำกำไรด้วย อัตราผลตอบแทนสุทธิจากสินทรัพย์รวม และอัตราผลตอบแทนจากส่วนของผู้ถือหุ้น วัดราคาหลักทรัพย์โดยใช้ราคาปิด ณ วันที่ 31 มีนาคม ของปีถัดไป ผู้วิจัยวิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติเชิงพรรณนา และการวิเคราะห์การถดถอยพหุคูณแบบ Pooled Regression ผลการศึกษาพบว่า โครงสร้างเงินทุนที่พิจารณาจากอัตราส่วนหนี้สินระยะยาวต่อสินทรัพย์รวมมีความสัมพันธ์เชิงบวกกับอัตราผลตอบแทนจากส่วนของผู้ถือหุ้น ที่ระดับความมีนัยสำคัญที่ 0.05 แต่ไม่มีความสัมพันธ์กับอัตราผลตอบแทนสุทธิจากสินทรัพย์รวม และราคาหลักทรัพย์ อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ ในขณะที่โครงสร้างเงินทุนที่พิจารณาจากอัตราส่วนหนี้สินรวมต่อส่วนของผู้ถือหุ้นมีความสัมพันธ์เชิงบวกกับอัตราผลตอบแทนจากส่วนของผู้ถือหุ้น ที่ระดับความมีนัยสำคัญที่ 0.05 แต่กลับมีความสัมพันธ์เชิงลบกับอัตราผลตอบแทนสุทธิจากสินทรัพย์รวม และราคาหลักทรัพย์ ที่ระดับความมีนัยสำคัญที่ 0.05</p> 2025-05-16T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2025 วารสารบริหารธุรกิจศรีนครินทรวิโรฒ https://so17.tci-thaijo.org/index.php/BASSBJ/article/view/771 การรับรู้คุณค่าผลิตภัณฑ์และส่วนประสมทางการตลาดที่ส่งผลต่อการตัดสินใจซื้อผลิตภัณฑ์อาหารเสริมเพื่อสุขภาพสำหรับผู้สูงอายุในจังหวัดเพชรบุรี 2025-01-17T14:13:43+07:00 ดรุณี สมพงษ์ druni1153@gmail.com กฤตชน วงศ์รัตน์ kritchana.won@mail.pbru.ac.th <p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษา 1) ระดับการรับรู้คุณค่าผลิตภัณฑ์ ส่วนประสมทางการตลาดและ การตัดสินใจเลือกซื้อผลิตภัณฑ์อาหารเสริมเพื่อสุขภาพของผู้สูงอายุในจังหวัดเพชรบุรี 2) การรับรู้คุณค่าผลิตภัณฑ์ ที่ส่งผลต่อการตัดสินใจซื้อผลิตภัณฑ์อาหารเสริมเพื่อสุขภาพของผู้สูงอายุในจังหวัดเพชรบุรี และ 3) ส่วนประสมทางการตลาดที่ส่งผลต่อการตัดสินใจซื้อผลิตภัณฑ์อาหารเสริมเพื่อสุขภาพสำหรับผู้สูงอายุในจังหวัดเพชรบุรี กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ คือ ผู้สูงอายุที่มีอายุ 60 ปีขึ้นไปที่อาศัยอยู่ในจังหวัดเพชรบุรี จำนวน 398 คน โดยใช้เทคนิคการเลือกตัวอย่างแบบบังเอิญ เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยเป็นแบบสอบถาม มีค่าความเชื่อมั่นเท่ากับ 0.96 สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการวิเคราะห์ความถดถอยแบบพหุคูณ </p> <p>ผลการวิจัยพบว่า</p> <ol> <li>ปัจจัยการรับรู้คุณค่าผลิตภัณฑ์ โดยภาพรวมอยู่ในระดับมาก เมื่อพิจารณาเป็นรายด้าน พบว่า คุณค่า ด้านความรู้ความคิด มีค่าเฉลี่ยมากที่สุด รองลงมา คือ คุณค่าด้านอารมณ์ คุณค่าด้านเงื่อนไข คุณค่าทางสังคม และคุณค่าด้านการใช้งาน ตามลำดับ ปัจจัยส่วนประสมทางการตลาด โดยภาพรวมอยู่ในระดับมาก เมื่อพิจารณาเป็นรายด้าน พบว่า ด้านผลิตภัณฑ์ มีค่าเฉลี่ยมากที่สุด รองลงมาคือ ด้านช่องทางการจัดจำหน่าย ด้านการส่งเสริมการตลาด และด้านราคา ตามลำดับ และปัจจัยการตัดสินใจซื้อ โดยภาพรวมมีค่าเฉลี่ยอยู่ในระดับมาก</li> <li>การรับรู้คุณค่าผลิตภัณฑ์ส่งผลต่อการตัดสินใจซื้อผลิตภัณฑ์อาหารเสริมเพื่อสุขภาพของผู้สูงอายุในจังหวัดเพชรบุรี ได้แก่ ด้านความรู้ความคิด (xepi) ด้านการใช้งาน (xfun) และด้านเงื่อนไข (xcon) โดยมีประสิทธิภาพการทำนายร้อยละ 55.50 และสามารถเขียนเป็นสมการพยากรณ์ได้ดังนี้ total= 0.977 + 0.494(xepi) + 0.198(xfun) + 0.166(xcon)</li> <li>ส่วนประสมทางการตลาดส่งผลต่อการตัดสินใจซื้อผลิตภัณฑ์อาหารเสริมเพื่อสุขภาพของผู้สูงอายุในจังหวัดเพชรบุรี ได้แก่ ด้านราคา (xpri) ด้านการส่งเสริมการตลาด (xpromo) และด้านผลิตภัณฑ์ (xpro) โดยมีประสิทธิภาพ การทำนายร้อยละ 49.40 และสามารถเขียนเป็นสมการพยากรณ์ได้ดังนี้ total= 0.692 + 0.355(xpri) + 0.265(xpromo) + 0.164(xpro)</li> </ol> 2025-05-16T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2025 วารสารบริหารธุรกิจศรีนครินทรวิโรฒ https://so17.tci-thaijo.org/index.php/BASSBJ/article/view/792 การประเมินผลกระทบทางสังคมหลักสูตรการบริหารความรับผิดชอบต่อสังคม (CSR) ของหน่วยจัดอบรมธรรมศาสตร์ 2025-01-24T17:39:16+07:00 ศรีสุข มงกุฎวิสุทธิ์ srisuk.m@psds.tu.ac.th <p>การวิจัยมีวัตถุประสงค์เพื่อประเมินผลกระทบทางสังคมของหลักสูตรอบรม และศึกษาแนวทางการพัฒนาหลักสูตร โดยใช้วิธีการวิจัยแบบผสมผสานเชิงปริมาณและเชิงคุณภาพ เพื่อให้ได้ข้อมูลที่ครอบคลุมครบถ้วนจากกลุ่มตัวอย่าง 166 ตัวอย่าง และสัมภาษณ์พร้อมสนทนากลุ่มกับผู้ให้ข้อมูลสำคัญ ผลการวิจัยพบว่า ตั้งแต่ปี 2561-2565 มีผู้เข้าอบรม 282 คน สามารถนำความรู้ไปประยุกต์ใช้ได้ในหลายระดับ ตั้งแต่ระดับปัจเจกบุคคลไปจนถึงระดับนานาชาติ ผู้เข้าอบรมสามารถทำโครงการ CSR ที่ประชาชนได้รับประโยชน์ทั้งในมิติเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม ใน 37 จังหวัด จำนวน 288 โครงการ และคาดการณ์ว่าจะมีโครงการเพิ่มขึ้นในอีก 34 จังหวัดถึง 166 โครงการ ผลกระทบทางบวกภายหลังการอบรมและนำความรู้จากการอบรมไปใช้ในการทำงาน เกิดขึ้นทั้งในระดับปัจเจกที่ได้รับการยอมรับในองค์กรมากขึ้น เพราะสามารถวางแผนงานและโครงการอย่างเข้าใจหลักการทำงานของ CSR ที่จะเป็นเครื่องมือในการช่วยสนับสนุนชุมชนและสังคม ลดข้อขัดแย้งระหว่างอุตสาหกรรม สถานประกอบการกับชุมชน และการบริหารจัดการสิ่งแวดล้อม เศรษฐกิจ สังคมที่ดีขึ้น จากการเข้าใจหลักกาการทำงานอย่างถูกต้อง ซึ่งช่วยลดต้นทุนและสร้างงานที่มีคุณค่าสามารถเชื่อมโยงงาน CSR กับเป้าหมายการพัฒนายั่งยืนได้ จากผลการวิจัยพบว่าหลักสูตร CSR ของมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์มีประสิทธิภาพในการพัฒนาบุคลากรด้าน CSR อย่างมีนัยสำคัญ โดยเน้นการปฏิบัติจริงและเชื่อมโยงกับเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพของหลักสูตร ควรปรับปรุงเนื้อหาให้ทันสมัยและหลากหลายมากขึ้น ส่งเสริมความร่วมมือระหว่างภาคส่วน และมีการประเมินผลกระทบทางสังคมอย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้</p> 2025-05-16T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2025 วารสารบริหารธุรกิจศรีนครินทรวิโรฒ https://so17.tci-thaijo.org/index.php/BASSBJ/article/view/787 นวัตกรรมบริการทางการแพทย์และภาพลักษณ์ที่มีอิทธิพลต่อความพึงพอใจ และความภักดีของผู้ใช้บริการแผนกผู้ป่วยนอกโรงพยาบาลภาครัฐ และเอกชน ในเขตกรุงเทพมหานคร 2025-01-22T13:14:43+07:00 เกียรติดำรงค์ คันทะไชย์ kiatdumrong.cku@rmutr.ac.th กอบกูล จันทรโคลิกา korbkul.jan@rmutr.ac.th ถนอมศักดิ์ สุวรรณน้อย thanomsak.suw@rmutr.ac.th <p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษานวัตกรรมบริการทางการแพทย์ที่มีอิทธิพลต่อความพึงพอใจ ภาพลักษณ์ และความภักดีของผู้ใช้บริการและเพื่อศึกษาปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อความพึงพอใจและความภักดีของผู้ใช้บริการแผนกผู้ป่วยนอกโรงพยาบาลภาครัฐ และเอกชนในกรุงเทพมหานคร โดยกรอบแนวคิดการวิจัยประยุกต์จากทฤษฎี American Customer Satisfaction Index (ACSI) มาปรับใช้ในการศึกษา วิธีการสำรวจ และเก็บข้อมูลด้วยวิธีการสุ่มตัวอย่างแบบตามความสะดวก (Convenience Sampling) จำนวน 403 คน จากกลุ่มผู้ที่ใช้หรือเคยใช้บริการแผนกผู้ป่วยนอกโรงพยาบาลภาครัฐ และเอกชนในเขตกรุงเทพมหานคร โดยแบ่งกลุ่มตัวอย่างตาม เพศและอายุ เพื่อตอบแบบสอบถาม และวิเคราะห์ข้อมูลด้วยแบบแบบจำลองสมการโครงสร้าง</p> <p> ผลการวิจัยพบว่า นวัตกรรมบริการทางการแพทย์และภาพลักษณ์ที่มีอิทธิพลต่อความพึงพอใจและความภักดีของผู้ใช้บริการแผนกผู้ป่วยนอกโรงพยาบาลภาครัฐ และเอกชนในเขตกรุงเทพมหานคร กลุ่มตัวอย่างประกอบด้วยผู้ป่วยและญาติ โดยมีเพศและอายุซึ่งส่วนใหญ่มีช่วงอายุระหว่าง 27-44 ปี และอยู่ในช่วงวัยทำงาน สถานภาพสมรส สำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรีหรือกำลังศึกษาปริญญาตรี ประกอบอาชีพนักงานบริษัทเอกชน โดยมีรายได้เฉลี่ยต่อเดือน 30,001 - 50,000 บาท และใช้บริการโรงพยาบาลเอกชน ตามสิทธิประกันสังคม ด้านสิทธิข้าราชการส่วนมาก ก็จะเลือกใช้บริการในโรงพยาบาลของรัฐ และยังพบว่าผู้ใช้บริการจะมีโรคประจำตัวที่ต้องรักษาต่อเนื่อง เช่น เบาหวาน ความดันโลหิต หัวใจ เป็นต้น ซึ่งจะต้องได้รับการรักษาระยะยาวและต่อเนื่อง เป็นผลให้ผู้ใช้บริการเกิดประสบการณ์และความคาดหวังต่อโรงพยาบาล ด้านนวัตกรรมบริการทางการแพทย์ ด้านผลิตภัณฑ์ทางการแพทย์ ด้านกระบวนการทางการแพทย์ และด้านการบริหารจัดการของโรงพยาบาล ซึ่งมีอิทธิพลต่อความพึงพอใจ ภาพลักษณ์ และความภักดีของผู้ใช้บริการอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ ส่วนอิทธิพลของความพึงพอใจของผู้ใช้บริการ โดยเฉพาะในด้านระบบ การให้บริการที่ดี พึงพอใจต่อบุคลากร แพทย์ พยาบาล ผู้ให้บริการ และมีนวัตมีนวัตกรรมบริการกับการใช้เทคโนโลยี ที่ทันสมัยซึ่งเป็นภาพลักษณ์ ของโรงพยาบาลที่สร้างความพึงพอใจ ส่งผลให้เกิดความภักดีของผู้ใช้บริการอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ</p> 2025-05-16T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2025 วารสารบริหารธุรกิจศรีนครินทรวิโรฒ https://so17.tci-thaijo.org/index.php/BASSBJ/article/view/768 การตัดสินใจเลือกโรงเรียนในการศึกษาต่อระดับมัธยมศึกษา: การวิเคราะห์ร่วม 2025-01-29T14:04:08+07:00 ณัฐยา ประดิษฐสุวรรณ nattaya@g.swu.ac.th ภัทราพร จิตสร้างบุญ suwanee@g.swu.ac.th <p>ในขณะที่ตลาดการศึกษามีการแข่งขันที่รุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ ผู้กำหนดนโยบายในสถาบันการศึกษาจำเป็นต้องเข้าใจความต้องการของนักเรียนในการตัดสินใจเลือกสถานศึกษาในการเข้าศึกษาต่อ เนื่องด้วยทรัพยากรที่มีจำกัดในสภาวะเศรษฐกิจในปัจจุบันผู้บริหารโรงเรียนจำเป็นต้องเพิ่มขีดความสามารถในการดึงดูดใจนักเรียนที่คาดหวัง เพื่อให้เลือกศึกษาในสถาบันการศึกษาของตนเอง เพื่อให้บรรลุเป้าหมายนี้ ผู้กำหนดนโยบายในสถานศึกษาจำเป็นต้องตระหนักถึงปัจจัยสำคัญที่มีอิทธิพลต่อการตัดสินใจของนักเรียนในการเลือกเข้าศึกษาต่อ การศึกษาวิจัยในครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อการตัดสินใจเลือกโรงเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาตอนปลาย 2) แสดงระดับความสำคัญของแต่ละปัจจัยที่มีผลต่อการตัดสินใจเลือกโรงเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาตอนปลาย และ 3) เปรียบเทียบลักษณะส่วนบุคคลของนักเรียนในการตัดสินใจเลือกโรงเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาตอนปลาย</p> <p>การวิจัยในครั้งนี้ เริ่มจากการสัมภาษณ์กลุ่มกับนักเรียนที่กำลังศึกษาอยู่ระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 จากโรงเรียน 4 แห่งในเขตกรุงเทพมหานคร ทั้งสิ้นจำนวน 20 คน โดยทำการสัมภาษณ์กลุ่มจำนวน 4 กลุ่ม กลุ่มละ 5 คน เพื่อกำหนดคุณลักษณะและระดับของปัจจัยเพื่อใช้ในการสร้างสถานการณ์จำลองในวิเคราะห์ร่วม จากนั้นได้มีการเลือกกลุ่มตัวอย่างอีกจำนวน 246 คน จากนักเรียนที่กำลังศึกษาอยู่ระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 ทั้ง 4 แห่งในเขตกรุงเทพมหานคร ผลการศึกษาพบว่า 1) ปัจจัยที่สำคัญ 4 อันดับแรก ในการเลือกโรงเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาในการศึกษาต่อ ได้แก่ โครงสร้างพื้นฐานด้านเทคโนโลยี ความสะดวกในการเดินทาง ชื่อเสียงในด้านวิชาการ และคำแนะนำจากบุคคลอื่น ตามลำดับ 2) นักเรียนที่มีรายได้เฉลี่ยของครอบครัวต่อเดือนมากกว่า 60,000 บาท ให้ความสำคัญกับปัจจัยด้านชื่อเสียงในด้านวิชาการ มากกว่านักเรียนที่มีรายได้เฉลี่ยของครอบครัวต่อเดือนน้อยกว่า 20,000 บาท และ 20,001-60,000 บาท และ 3) นักเรียนที่มีรายได้เฉลี่ยของครอบครัวต่อเดือน 20,000-60,000 บาท ให้ความสำคัญกับปัจจัยด้านความสะดวกในการเดินทาง มากกว่านักเรียนที่มีรายได้เฉลี่ยของครอบครัวต่อเดือนมากกว่า 60,000 บาท</p> <p>การวิจัยในครั้งนี้ได้ให้ข้อเสนอแนะ เพื่อเป็นแนวทางให้ผู้บริหารโรงเรียนมัธยมศึกษาให้ได้เข้าใจถึงปัจจัยต่าง ๆ ที่มีอิทธิพลต่อการตัดสินใจของนักเรียนในการตัดสินใจเลือกโรงเรียนมัธยมศึกษาในการศึกษาต่อ ซึ่งอาจทำให้ผู้กำหนดนโยบายสามารถนำไปปรับปรุงหลักสูตร และพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านเทคโนโลยี ให้ตรงกับความต้องการของนักเรียนที่ต้องการเข้าศึกษาต่อในระดับชั้นมัธยมศึกษาตอนปลายได้ดียิ่งขึ้น</p> 2025-05-16T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2025 วารสารบริหารธุรกิจศรีนครินทรวิโรฒ https://so17.tci-thaijo.org/index.php/BASSBJ/article/view/767 แนวทางการดำเนินธุรกิจร้านกาแฟที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม 2025-01-21T10:13:28+07:00 วิสาขา ภู่จินดา wisakha.p@nida.ac.th <p>การศึกษามีวัตถุประสงค์ เพื่อศึกษาแนวทางการพัฒนาศักยภาพ และยกระดับการให้บริการในการดำเนินธุรกิจร้านกาแฟที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม และศึกษาแนวทางการขยายภาคีเครือข่ายร้านกาแฟที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ครอบคลุมผู้ประกอบการร้านกาแฟทั่วประเทศ โดยรวบรวมข้อมูลจากการสัมภาษณ์เชิงลึก (In-depth Interview) ผู้ประกอบการร้านกาแฟที่ทำความตกลงนำร่องเป็นสมาชิกภาคีเครือข่ายร้านกาแฟที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม 32 ราย ทำการถอดบทเรียนและวิเคราะห์เนื้อหาตามประเด็น (Content Analysis) เพื่อให้ได้แนวทางการดำเนินธุรกิจร้านกาแฟที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม จากนั้นระดมความคิดเห็น (Focus Group) เพื่อรวบรวมผลการวิพากษ์แนวทางในการดำเนินธุรกิจร้านกาแฟที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม โดยผู้เชี่ยวชาญด้านการพัฒนาธุรกิจร้านกาแฟที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม 6 ท่าน</p> <p>ผลการศึกษาพบว่า ผู้ประกอบการสมาชิกภาคีเครือข่ายส่วนใหญ่มีวิสัยทัศน์ในการดำเนินธุรกิจที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ ประกอบด้วย การกำหนดนโยบายธุรกิจ การจัดซื้อจัดจ้าง การบริหารจัดการทรัพยากรบุคคล ไปจนถึงการเตรียมความพร้อมในการพัฒนาศักยภาพธุรกิจร้านกาแฟที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม โดยการพัฒนาแนวทางการดำเนินธุรกิจร้านกาแฟที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ผ่านการจัดทำคู่มือร้านกาแฟที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม (Green coffee shop) และการขอรับรองเครื่องหมาย “ECO PLUS COFFEE SHOP” แบ่งเป็น 2 ส่วน ประกอบด้วย แนวทางส่งเสริมศักยภาพการบริการธุรกิจร้านกาแฟที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ตามหลักเกณฑ์การเข้าร่วมโครงการร้านกาแฟที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม (Green coffee shop) และแนวทางการยกระดับการให้บริการธุรกิจร้านกาแฟที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ด้วยเกณฑ์การขอรับรองเครื่องหมาย “ECO PLUS COFFEE SHOP” เป็นตัวชี้วัดการยกระดับการให้บริการธุรกิจร้านกาแฟที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ที่มีเป้าหมายในการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการให้บริการของผู้ประกอบการร้านกาแฟ สู่พฤติกรรมการบริโภคของผู้บริโภค ให้สามารถนำไปสู่การลดปริมาณขยะพลาสติกแบบใช้ครั้งเดียวทิ้ง และสามารถบรรลุเป้าหมายการนำผลิตภัณฑ์พลาสติกเป้าหมาย ประกอบด้วย ถุงพลาสติกหูหิ้ว ขวดพลาสติก ถ้วยและแก้วพลาสติก ฝาขวด และฟิล์มพลาสติกชั้นเดียว เข้าสู่ระบบรีไซเคิลได้ร้อยละ 100 ภายในปี พ.ศ. 2570 สู่การลดปริมาณการปลดปล่อยก๊าซเรือนกระจก นอกจากนี้ผู้ประกอบการร้านกาแฟยังมีความพร้อมในการให้บริการด้วยมาตรฐานการบริการที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมในระดับสากล และสร้างโอกาสทางการตลาด ตอบโจทย์ความนิยมผู้บริโภคที่มีความรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อมที่มีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง</p> 2025-05-16T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2025 วารสารบริหารธุรกิจศรีนครินทรวิโรฒ https://so17.tci-thaijo.org/index.php/BASSBJ/article/view/774 ปัจจัยที่ส่งผลต่อแรงจูงใจในการตัดสินใจซื้อน้ำหอมแบรนด์เนม ในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑล 2025-01-22T09:55:35+07:00 เดชา พละเลิศ phalalert.d@gmail.com ปฏิพัทธิ์ สีเวียง phatipatsee23919@gmail.com ปกรณ์เกียรติ จันทรกุล lueng1chan2@gmail.com <p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) เพื่อศึกษาลักษณะทางประชากรศาสตร์ ปัจจัยส่วนประสมการตลาดบริการ และแรงจูงใจในการตัดสินใจซื้อน้ำหอมแบรนด์เนมในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑล 2) เพื่อศึกษาปัจจัยส่วนประสมทางการตลาดบริการที่ส่งผลต่อแรงจูงใจในการตัดสินใจซื้อน้ำหอมแบรนด์เนมในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑล งานวิจัยนี้เป็นการวิจัยเชิงปริมาณ เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยคือแบบสอบถาม ประชากรที่จะศึกษาในครั้งนี้คือ กลุ่มผู้บริโภคที่เคยซื้อน้ำหอมแบรนด์เนม อาศัยอยู่ในกรุงเทพมหานครและปริมณฑล เนื่องจากไม่ทราบจำนวนประชากรที่แน่นอน จึงกำหนดกลุ่มตัวอย่างจากการใช้สูตรของคอเรน จำนวนกลุ่มตัวอย่าง 410 ตัวอย่าง และใช้การสุ่มตัวอย่างแบบสะดวก (Convenience sampling) สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลได้แก่ สถิติเชิงพรรณนา และทดสอบสมมติฐานโดยใช้การวิเคราะห์สมการถดถอยพหุคูณ</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า 1) กลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่เป็นเพศชาย ร้อยละ 50.7 มีอายุช่วง 21-30 ปี ร้อยละ 83.7 การศึกษาระดับปริญญาตรี ร้อยละ 89 อาชีพพนักงานบริษัทเอกชน ร้อยละ 68.5 รายได้ต่อเดือน 15,001-20,000 บาท ร้อยละ 32.4 แบรนด์น้ำหอมที่ใช้บ่อยที่สุด CALVIN KLEIN ร้อยละ 37.3 ประเภทของกลิ่นน้ำหอมที่เลือกใช้มากที่สุด กลิ่นดอกไม้หอมหวานสดชื่น ร้อยละ 23.9 มีเหตุผลในการเลือกซื้อน้ำหอมเพื่อใช้ส่วนตัว ร้อยละ 91 และมีค่าใช้จ่ายเฉลี่ยในการซื้อน้ำหอมแบรนด์เนมในแต่ละครั้ง 3,001-6,000บาท ร้อยละ 52.4 ระดับความคิดเห็นของกลุ่มตัวอย่างที่มีต่อปัจจัยส่วนประสมทางการตลาดโดยรวมอยู่ในระดับมากที่สุด ( <strong> </strong>= 4.455, S.D. = 0.669) และเมื่อพิจารณารายด้านพบว่า ด้านลักษณะทางกายภาพ ( <strong> </strong>= 4.511, S.D. = 0.722) อยู่ในระดับมากที่สุดเช่นกัน ระดับความคิดเห็นของกลุ่มตัวอย่างที่มีต่อแรงจูงใจในการตัดสินใจซื้อน้ำหอมแบรนด์เนมโดยรวมอยู่ในระดับมากที่สุด ( <strong> </strong>= 4.385, S.D. = 0.714) และเมื่อพิจารณารายด้านพบว่า การซื้อน้ำหอมแบรนด์เนมมีสินค้าเป็นไปตามคุณภาพที่ต้องการ ( <strong> </strong>= 4.410, S.D. = 0.864) อยู่ในระดับมากที่สุดเช่นกัน 2) ปัจจัยส่วนประสมทางการตลาดบริการ ด้านผลิตภัณฑ์/บริการ ด้านราคา ด้านช่องทางการจัดจำหน่าย ด้านการส่งเสริมการตลาด ด้านบุคคล และด้านลักษณะทางกายภาพ ส่งผลต่อแรงจูงใจในการตัดสินใจซื้อน้ำหอมแบรนด์เนมในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑล อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05</p> 2025-05-16T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2025 วารสารบริหารธุรกิจศรีนครินทรวิโรฒ