วารสารครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏอุตรดิตถ์ https://so17.tci-thaijo.org/index.php/Edu <p><strong>วารสารครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏอุตรดิตถ์</strong><br />ISSN 2821-983x (Print)</p> <p><strong>กำหนดการตีพิมพ์และเผยแพร่ :</strong> <strong>ปีละ 2 ฉบับ</strong><br />ฉบับที่ 1 ช่วงเดือน มกราคม – มิถุนายน<br />ฉบับที่ 2 ช่วงเดือน กรกฎาคม – ธันวาคม</p> <p><strong>ขอบเขตวารสาร<br /></strong> บทความที่รับตีพิมพ์ต้องเป็นบทความในกลุ่มสาขาครุศาสตร์/ศึกษาศาสตร์ และสาขาที่เกี่ยวข้องกับการศึกษา ซึ่งมีขอบเขตดังนี้</p> <p><span style="font-size: 0.875rem;">การศึกษาปฐมวัยและการประถมศึกษา</span></p> <ol> <li>ภาษาไทยและภาษาต่างประเทศ</li> <li>คณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ทั่วไป ชีววิทยา เคมี และฟิสิกส์</li> <li>คอมพิวเตอร์ศึกษา นวัตกรรมและเทคโนโลยีการสื่อสารทางการศึกษา</li> <li>สังคมศึกษาและดนตรีศึกษา</li> <li>พลศึกษา จิตวิทยาการแนะแนวและการให้คำปรึกษา</li> <li>การบริหารการศึกษา การพัฒนาหลักสูตรการเรียนการสอน</li> <li>การวิจัยทางการศึกษา การวัดและประเมินผลทางการศึกษา</li> <li>การจัดการศึกษาเพื่อการพัฒนาท้องถิ่น</li> </ol> <p><strong>ประเภทบทความที่เปิดรับ: เปิดรับตีพิมพ์ผลงาน 3 ประเภท ได้แก่<br /></strong> 1. บทความวิจัย (Research Article)<br /> 2. บทความวิชาการ (Academic Article)<br /> 3. บทความปริทรรศน์หนังสือ (Book Review)<br /><br /><strong>ภาษาที่รับตีพิมพ์</strong><br /> 1. ภาษาไทย<br /> 2. ภาษาอังกฤษ<br /><br /><strong>การพิจารณาบทความ</strong><strong style="font-size: 0.875rem;"><br /></strong> บทความที่ได้รับการเผยแพร่ตีพิมพ์ในวารสารมีการตรวจสอบและพิจารณาจากผู้ทรงคุณวุฒิ (Peer Review) จำนวน 3 ท่าน ต่อ 1 บทความ เป็นแบบ Double-Blind ผ่านระบบ Thaijo<br /><br /><strong>ค่าธรรมเนียมในการตีพิมพ์</strong><br /> ไม่มีการเก็บค่าธรรมเนียม<br /><br /><strong>บรรณาธิการวารสาร</strong><br />ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.เชาวฤทธิ์ จั่นจีน <br />คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏอุตรดิตถ์<br />เลขที่ 27 ถนนอินใจมี ตำบลท่าอิฐ อ.เมือง จ.อุตรดิตถ์<br />โทรศัพท์สายตรง: 094-8282518<br />Email: research.edu@uru.ac.th<br /><br /><br /></p> คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏอุตรดิตถ์ (Education facuty Uttaradit Rajabhat University) th-TH วารสารครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏอุตรดิตถ์ 2821-983X <p>วารสารคณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏอุตรดิตถ์ เป็นสื่อกลางในการเผยแพร่ผลงานวิจัย งานวิชาการความคิดเห็นใด ๆ ที่ปรากฏในบทความเป็นเพียงความคิดเห็นส่วนบุคคลของผู้เขียนเท่านั้นคณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏอุตรดิตถ์ และกองบรรณาธิการไม่จำเป็นต้องมีความคิดเห็นที่สอดคล้องกับความคิดเห็นที่ปรากฎในบทความแต่อย่างใด และไม่ถือว่าเป็นความรับผิดชอบของคณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏอุตรดิตถ์ และกองบรรณาธิการ</p> การจัดการเรียนรู้วิชาคณิตศาสตร์เรื่อง อสมการเชิงเส้นตัวแปรเดียว สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 โดยการประยุกต์ใช้ห้องเรียนกลับด้านร่วมกับทฤษฎีคอนสตรัคติวิสต์ https://so17.tci-thaijo.org/index.php/Edu/article/view/1548 <p>การวิจัยในครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) พัฒนาการจัดการเรียนรู้วิชาคณิตศาสตร์เรื่อง อสมการเชิงเส้นตัวแปรเดียว สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 โดยการประยุกต์ใช้ห้องเรียนกลับด้านร่วมกับทฤษฎีคอนสตรัคติวิสต์ ให้มีประสิทธิภาพตามเกณฑ์ 80/80 2) เปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนคณิตศาสตร์เรื่อง อสมการเชิงเส้นตัวแปรเดียว สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 โดยการประยุกต์ใช้ห้องเรียนกลับด้านร่วมกับทฤษฎีคอนสตรัคติวิสต์ และ 3) ศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ต่อการจัดการเรียนรู้โดยการประยุกต์ใช้ห้องเรียนกลับด้านร่วมกับทฤษฎีคอนสตรัคติวิสต์ กลุ่มตัวอย่าง 30 คน นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 โรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยราชภัฏอุตรดิตถ์ อำเภอเมือง จังหวัดอุตรดิตถ์ ในปีการศึกษา 2567 เครื่องมือที่ใช้ ได้แก่ แผนการจัดการเรียนรู้ แบบทดสอบหลังเรียน และแบบประเมินความพึงพอใจที่มีต่อการจัดการเรียนรู้อสมการเชิงเส้นตัวแปรเดียว โดยการประยุกต์ใช้ห้องเรียนกลับด้านร่วมกับทฤษฎีคอนสตรัคติวิสต์ สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 สถิติที่่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ร้อยละ ค่าประสิทธิภาพ และการทดสอบค่า t</p> <p><strong>ผลการศึกษาพบว่า</strong></p> <p>1) แผนการจัดการเรียนรู้เรื่อง อสมการเชิงเส้นตัวแปรเดียว โดยการประยุกต์ใช้ห้องเรียนกลับด้านร่วมกับทฤษฎีคอนสตรัคติวิสต์ มีประสิทธิภาพเท่ากับ 82.46/80.74 ซึ่งเป็นไปตามเกณฑ์</p> <p>2) ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนรู้หลังจากได้รับการจัดการเรียนรู้ โดยการประยุกต์ใช้ห้องเรียนกลับด้านร่วมกับทฤษฎีคอนสตรัคติวิสต์ มีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05</p> <p>3) นักเรียนมีความพึงพอใจต่อการจัดการเรียนรู้โดยการประยุกต์ใช้ห้องเรียนกลับด้านร่วมกับทฤษฎีคอนสตรัคติวิสต์ พบว่ามีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 4.40 และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานเท่ากับ 0.07 โดยรวมอยู่ในระดับมาก</p> <p><strong>คำสำคัญ </strong><strong>: </strong>ห้องเรียนกลับด้า;, ทฤษฎีคอนสตรัคติวิสต์; ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนรู้คณิตศาสตร์</p> สุทธิดา เสียงเสนาะ เจนจิรา แสงอุทัย ลิขสิทธิ์ (c) 2025 https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-11-04 2025-11-04 4 1 4 15 การใช้สื่อเทคโนโลยีพัฒนาผลสัมฤทธิ์การเรียนคณิตศาสตร์ เรื่อง อสมการเชิงเส้น ตัวแปรเดียวในชั้นเรียนมัธยมศึกษาปีที่ 3 โรงเรียนพิชัย จังหวัดอุตรดิตถ์ https://so17.tci-thaijo.org/index.php/Edu/article/view/1549 <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ 1. เพื่อพัฒนาผลสัมฤทธิ์การเรียนคณิตศาสตร์ เรื่อง อสมการเชิงเส้นตัวแปรเดียวในชั้นเรียนมัธยมศึกษาปีที่ 3 โดยการใช้สื่อด้วยเทคโนโลยีก่อนเรียนและหลังเรียนในชั้นเรียนมัธยมศึกษาปีที่ 3 2. เพื่อศึกษาความพึงพอใจในชั้นเรียนมัธยมศึกษาปีที่ 3 ที่มีต่อการเรียนวิชาคณิตศาสตร์&nbsp; เรื่อง อสมการเชิงเส้นตัวแปรเดียวโดยการใช้สื่อเทคโนโลยี ดำเนินการวิจัยปฏิบัติการสอนในชั้นเรียน กับกลุ่มตัวอย่าง นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 โรงเรียนพิชัย จังหวัดอุตรดิตถ์ ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2567 จำนวน 1 ห้องเรียน&nbsp; รวม 40 คน โดยใช้เครื่องมือวิจัย คือ แผนการจัดการทางการเรียนรู้วิชาคณิตศาสตร์ เรื่อง อสมการเชิงเส้นตัวแปรเดียว และเครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูล ได้แก่ แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนคณิตศาสตร์ &nbsp;และแบบวัดความพึงพอใจ</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า 1. ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนคณิตศาสตร์ เรื่อง อสมการเชิงเส้นตัวแปรเดียว <br>ในชั้นเรียนมัธยมศึกษาปีที่ 3 สูงกว่าก่อนได้รับการจัดการเรียนรู้อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 2. ชั้นเรียนมัธยมศึกษาปีที่ 3 มีความพึงพอใจต่อการจัดการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ เรื่อง อสมการเชิงเส้นตัวแปรเดียวโดยใช้สื่อเทคโนโลยี อยู่ในระดับมากที่สุด ( = 4.78 , S.D. = 0.44)</p> <p><strong>คำสำคัญ</strong> : สื่อเทคโนโลยี; อสมการเชิงเส้นตัวแปรเดียว; ผลสัมฤทธิ์การเรียนคณิตศาสตร์</p> พัชรีภรณ์ บุญคง คทาวุธ ชาติศักดิ์ยุทธ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-11-04 2025-11-04 4 1 16 29 การพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนคณิตศาสตร์ เรื่อง แคลคูลัส สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 โดยใช้บอร์ดเกมร่วมกับแนวคิดห้องเรียนกลับด้านและแบบฝึกเสริมทักษะ https://so17.tci-thaijo.org/index.php/Edu/article/view/1550 <p>การวิจัยในครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) พัฒนาบอร์ดเกมร่วมกับแนวคิดห้องเรียนกลับด้านและแบบฝึกเสริมทักษะในการจัดการเรียนรายวิชาคณิตศาสตร์ เรื่อง แคลคูลัส 2) เปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนก่อนเรียนและหลังเรียน เรื่อง แคลคูลัส โดยใช้บอร์ดเกมร่วมกับร่วมกับแนวคิดห้องเรียนกลับด้านและแบบฝึกเสริมทักษะ 3) ศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 หลังใช้บอร์ดเกมร่วมกับแนวคิดห้องเรียนกลับด้านและแบบฝึกเสริมทักษะ กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการศึกษาค้นคว้าเป็นนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 โรงเรียนสาธิต มหาวิทยาลัยราชภัฏอุตรดิตถ์ อำเภอเมือง จังหวัดอุตรดิตถ์ ภาคเรียนที่ 1&nbsp;ปีการศึกษา 2567 จำนวน 16 คน ซึ่งได้มาจากการสุ่มตัวอย่างแบบกลุ่ม เครื่องมือที่ใช้ในการรวบรวมข้อมูลได้แก่ 1) คู่มือการจัดการเรียนรู้ 2) แบบทดสอบก่อนเรียน (Pre-test) 3) แบบทดสอบหลังเรียน (Post-test) และ 4) แบบสอบถามความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อการจัดการเรียนรู้โดยใช้บอร์ดเกมร่วมกับร่วมกับแนวคิดห้องเรียนกลับด้านและแบบฝึกเสริมทักษะ สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน Shapiro-Wilk test และ t-test &nbsp;</p> <p><strong>ผลการศึกษาพบว่า</strong></p> <ol> <li class="show">คู่มือการจัดการเรียนคณิตศาสตร์ เรื่อง แคลคูลัส โดยใช้บอร์ดเกมร่วมกับแนวคิดห้องเรียนกลับด้านและแบบฝึกเสริมทักษะ มีประสิทธิภาพตามเกณฑ์ 75/75 โดยมีคะแนนระหว่างการเรียนรู้ (E<sub>1</sub>) เท่ากับ 75.09 และจากการทำแบบทดสอบหลังเรียน (E<sub>2</sub>) เท่ากับ 75.31</li> <li class="show">ผลการทดสอบ Shapiro-Wilk พบว่าคะแนนก่อนเรียนและหลังเรียนมีการแจกแจงปกติ (ก่อนเรียน Sig = .273, หลังเรียน Sig = .338)</li> <li class="show">ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนที่ได้รับการจัดการเรียนโดยใช้บอร์ดเกมร่วมกับแนวคิดห้องเรียนกลับด้านและแบบฝึกเสริมทักษะ มีคะแนนเฉลี่ยหลังเรียน (= 15.06, S.D. = 1.57) สูงกว่าคะแนนเฉลี่ยก่อนเรียน (&nbsp;= 12.06, S.D. = 1.24) อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05</li> <li class="show">ความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อการจัดการเรียนรู้โดยรวมอยู่ในระดับมากที่สุด (= 4.77, S.D. = 0.45) โดยทุกรายการประเมินมีความพึงพอใจอยู่ในระดับมากที่สุด</li> </ol> <p><strong>คำสำคัญ</strong><strong>: </strong>บอร์ดเกม; ห้องเรียนกลับด้า;, แบบฝึกเสริมทักษะ; แคลคูลัส</p> กฤชสร จันจีรัชกร ใจเกลี้ยง ณัฐกมล สีแดงน้อย ลิขสิทธิ์ (c) 2025 https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-11-04 2025-11-04 4 1 30 44 การพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนรู้ เรื่องการบวกและการลบจำนวนนับไม่เกิน 100,000 สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 โดยใช้ UNO ศึกประลอง บวก ลบ https://so17.tci-thaijo.org/index.php/Edu/article/view/1551 <p>การวิจัยในครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ 3 ประการได้แก่ 1) เพื่อพัฒนาแผนการจัดการเรียนรู้ร่วมกับ Uno ศึกประลอง บวก ลบ 2)เพื่อศึกษาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนรู้เรื่องการบวกและการลบจำนวนนับไม่เกิน 100,000 ของผู้เรียนเรียนที่ได้รับการสอนโดยใช้แผนการจัดการเรียนรู้ร่วมกับ Uno ศึกประลอง บวก ลบ 3) เพื่อศึกษาระดับความพึงพอใจที่ผู้เรียนที่มีต่อแผนการจัดการเรียนรู้ร่วมกับ Uno ศึกประลอง บวก ลบ&nbsp; กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการศึกษาค้นคว้าเป็นนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3/4 โรงเรียนเอนุบาลแพร่ ตำบลช่อแฮ อำเภอเมือง จังหวัดแพร่&nbsp;ปีการศึกษา 2567 จำนวน 26 คน ซึ่งได้มาจากการสุ่มตัวอย่างแบบกลุ่ม เครื่องมือที่ใช้ในการรวบรวมข้อมูลได้แก่ 1)แผนการจัดการเรียนรู้ 2) แบบทดสอบวัดความรู้ก่อนเรียน (Pre-test) 3) แบบทดสอบวัดความรู้หลังเรียน (Post-test) และ 4) แบบสอบถามความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อแผนการจัดการเรียนรู้ร่วมกับ UNO ศึกประลอง บวก ลบ สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลได้แก่&nbsp; ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน และ t-test &nbsp;</p> <p>&nbsp;</p> <p><strong>ผลการศึกษาพบว่า</strong></p> <ol> <li class="show">ผลการประเมินคุณภาพแผนการจัดการเรียนรู้ร่วมกับ Uno ศึกประลอง บวก ลบ พบว่า คะแนนตามจุดประสงค์การเรียนรู้นักเรียนได้คะแนนเฉลี่ยร้อยละ 76.32 และจากการทำแบบทดสอบ วัดความรู้หลังเรียน (Post-test) ได้คะแนนเฉลี่ยร้อยละ 83.08 ดังนั้นจึงสรุปได้ว่าแผนการจัดการเรียนรู้ร่วมกับ Uno ศึกประลอง บวก ลบ มีประสิทธิภาพเป็นไปตามเกณฑ์ 75/75</li> <li class="show">ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนรู้เรื่องการบวกและการลบไม่เกิน 100,000 ของนักเรียนที่ได้รับการสอนโดยใช้แผนการจัดการเรียนรู้ร่วมกับ UNO ศึกประลอง บวก ลบ หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสําคัญทางสถิติที่ระดับ .05</li> <li class="show">ผลความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อแผนการจัดการเรียนรู้ร่วมกับ UNO ศึกประลอง บวก ลบ ในภาพรวมอยู่ในระดับมากที่สุด มีค่าเฉลี่ยเป็น 4.80 0.49 ซึ่งทุกหัวข้อการประเมินมีความพึงพอใจ&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp; ในระดับมากที่สุด</li> </ol> <p><strong>คำสำคัญ</strong><strong>: </strong>UNO; การบวกและการลบไม่เกิน 100,00; เกมการศึกษา</p> ภัสกร กันอินทร์ รัชนก แก้ววงศ์ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-11-04 2025-11-04 4 1 45 58 การเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนรู้คำศัพท์ภาษาอังกฤษ โดยใช้วิธีการสอนแบบตอบสนองด้วยท่าทาง (TPR) ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 https://so17.tci-thaijo.org/index.php/Edu/article/view/1552 <p>การวิจัยในครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ เปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนรู้คำศัพท์ภาษาอังกฤษของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 ก่อนและหลังเรียนด้วยวิธีการสอนแบบตอบสนองด้วยท่าทาง (TPR)&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp; กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในงานวิจัยนี้คือนักเรียนระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 โรงเรียนเทศบาลวัดหนองผา &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;จำนวน 17 คนในภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2567 ใช้วิธีการเลือกกลุ่มตัวอย่างแบบเจาะจง (Purposive sampling) เครื่องมือที่ใช้คือ 1) แผนการจัดการเรียนรู้วิชาภาษาอังกฤษ จำนวน 4แผน 2) แบบทดสอบ&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp; วัดความรู้ด้านคำศัพท์ภาษาอังกฤษ สถิติที่ใช้วิเคราะห์ข้อมูลได้แก่ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานและ t-test แบบไม่เป็นอิสระต่อกัน (dependent sample) ผลวิจัยพบว่า มีความรู้ด้านคำศัพท์ภาษาอังกฤษโดยใช้วิธี&nbsp;&nbsp; การสอนแบบตอบสนองด้วยท่าทาง (TPR) หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05</p> <p><strong>คำสำคัญ </strong><strong>:</strong> ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน; วิธีการสอนแบบตอบสนองด้วยท่าทาง (TPR)</p> ภัสธิรา ทิพย์ศรีมูล ลิขสิทธิ์ (c) 2025 https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-11-04 2025-11-04 4 1 59 72 การพัฒนาผลสัมฤทธิ์ด้านการสื่อสารภาษาอังกฤษ โดยการจัดการเรียนรู้แบบ CLT และ 2W3P โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษาน้อมเกล้า อุตรดิตถ์ https://so17.tci-thaijo.org/index.php/Edu/article/view/1553 <p>การศึกษาค้นคว้าครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ ดังนี้ 1) เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพการจัดการเรียนรู้ด้านการสื่อสารภาษาอังกฤษ โดยการจัดการเรียนรู้แบบ CLT และ 2W3P ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ให้มีประสิทธิภาพตามเกณฑ์ 2) เพื่อพัฒนาผลสัมฤทธิ์ด้านการสื่อสารภาษาอังกฤษ โดยการจัดการเรียนรู้แบบ CLT และ 2W3P 3) เพื่อศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อการจัดการเรียนรู้แบบ CLT และ 2W3P เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ 1) แผนการจัดการเรียนรู้ 2) แบบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน 3) แบบสอบถามความถึงพอใจที่มีต่อการจัดการเรียนรู้ สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าดัชนีความสอดคล้อง , ค่าความยากง่าย, ค่าอำนาจจำแนก, ค่าความเชื่อมั่น, ค่าเฉลี่ยเลขคณิต, ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการทดสอบค่าที</p> <p>&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp; ผลการศึกษาพบว่า 1) ประสิทธิภาพของการจัดการเรียนรู้ด้านการสื่อสารภาษาอังกฤษ โดยการจัดการเรียนรู้แบบ CLT และ 2W3P มีประสิทธิภาพ เท่ากับ 80.83/81.03 ซึ่งเป็นตามเกณฑ์ที่ตั้งไว้ 80/80 <br>2) แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนสำหรับการจัดการเรียนรู้ด้านการสื่อสารภาษาอังกฤษ&nbsp; มีคะแนนผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสําคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 3) เพื่อศึกษาความ<br>พึงพอใจต่อการจัดการเรียนรู้ด้านการสื่อสารภาษาอังกฤษ จำนวน 34 คน พบว่าโดยรวมมีความพึงพอใจอยู่ในระดับมาก มีค่าเฉลี่ยความพึงพอใจเท่ากับ 4.32 และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานเท่ากับ 0.10</p> <p><strong>คำสำคัญ</strong> : ภาษาเพื่อการสื่อสาร; CLT; 2W3P; ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน</p> ณัฐวุฒิ ใจเพ็ชร ลิขสิทธิ์ (c) 2025 https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-11-04 2025-11-04 4 1 73 85