https://so17.tci-thaijo.org/index.php/EduBSRU/issue/feed วารสารครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏบ้านสมเด็จเจ้าพระยา 2024-05-28T00:00:00+07:00 รองศาสตราจารย์ ดร.จิตตวิสุทธิ์ วิมุตติปัญญา edujournal@bsru.ac.th Open Journal Systems <p>วารสารครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏบ้านสมเด็จเจ้าพระยา มุ่งเน้นในการรวบรวมและเผยแพร่องค์ความรู้ทั้งในรูปแบบของบทความงานวิจัย และบทความวิชาการอื่นๆ ในการเผยแพร่องค์ความรู้ความคิด ทัศนะ และประสบการณ์เกี่ยวกับการจัดการศึกษาทั้งด้านการบริหารการศึกษา คุณลักษณะบัณฑิต การพัฒนาหลักสูตร การจัดการเรียนรู้ การใช้สื่อเทคโนโลยีและนวัตกรรมในการจัดการศึกษา การวัดผลและประเมินผล ศิลปวัฒนธรรม และนำเสนอองค์ความรู้จากผลงานการวิจัยทางด้านการศึกษา สู่สาธารณชน โดยมีผู้ทรงคุณวุฒิเป็นบุคคลภายนอกจากหลากหลายสถาบันซึ่งไม่ได้สังกัดเดียวกับผู้เขียน อย่างน้อย 3 ท่าน ตรวจสอบกลั่นกรองสาระต่างๆ ที่นำเสนอในวารสาร และให้วารสารมีมาตรฐานคุณภาพมากยิ่งขึ้น โดยตีพิมพ์เผยแพร่เป็นราย 6 เดือน (ปีละ 2 ฉบับ) ฉบับที่ 1 เดือน มกราคม - มิถุนายน และฉบับที่ 2 เดือนกรกฏาคม - ธันวาคม </p> <p><strong>วารสารครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏบ้านสมเด็จเจ้าพระยา</strong><br />Journal of Education Bansomdejchaopraya Rajabhat University<br />ISSN 3056-915X (Online)</p> <p><strong>กำหนดพิมพ์เผยแพร่ ปีละ 2 ฉบับ</strong><br />ฉบับที่ 1 มกราคม – มิถุนายน<br />ฉบับที่ 2 กรกฎาคม – ธันวาคม</p> <p style="margin-bottom: 0cm;"><strong>ค่าธรรมเนียมการเผยแพร่</strong><br />อัตราค่าธรรมเนียมการเผยแพร่บทความในวารสารครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏบ้านสมเด็จเจ้าพระยา มีดังนี้<br />1. อัตราค่าธรรมเนียมเผยแพร่บทความสำหรับบุคลากรภายในมหาวิทยาลัยราชภัฏบ้านสมเด็จเจ้าพระยา บทความละ 3,000 บาท<br />2. อัตราค่าธรรมเนียมเผยแพร่บทความสำหรับบุคคลภายนอก บทความละ 3,500 บาท</p> <p>การเก็บค่าธรรมเนียมการเผยแพร่ จะดำเนินการหลังจากที่บทความผ่านการพิจารณาตรวจสอบจากกองบรรณาธิการภายใน ก่อนส่งให้ผู้ทรงคุณวุฒิประเมินบทความ</p> <p><strong>การชำระค่าธรรมเนียม : กำหนดให้โอนเงินค่าธรรมเนียมผ่านทางบัญชีธนาคาร ดังนี้</strong><br /><strong>ธนาคาร</strong> กรุงเทพ สาขา เจริญพาศน์<br /><strong>ชื่อบัญชี</strong> วารสารครุศาสตร์สาร คณะครุศาสตร์ <br /><strong>เลขที่บัญชี</strong> 126-0-91036-7</p> <p style="font-weight: 400;"><strong>*หมายเหตุ</strong><strong style="font-weight: 500;"> : เมื่อดำเนินการชำระค่าธรรมเนียมเรียบร้อยแล้ว กรุณาแนบหลักฐานการชำระเงินที่ E-mail: edujournal@bsru.ac.th</strong></p> <p style="font-weight: 400;"><strong style="font-weight: 500;"><strong>เงื่อนไขในการส่งบทความ </strong></strong></p> <ol> <li><strong style="font-weight: 500;">กองบรรณาธิการ ขอสงวนสิทธิ์ในการเผยแพร่บทความที่ไม่ตรงกับสายวิชาการที่ทางวารสารเปิดรับ</strong></li> <li><strong style="font-weight: 500;">กองบรรณาธิการ ขอสงวนสิทธิ์ในการเผยแพร่บทความที่ไม่ได้จัดรูปแบบที่ถูกต้อง </strong></li> <li style="font-weight: 400;"><strong style="font-weight: 500;">กองบรรณาธิการ ขอสงวนสิทธิ์ในการเผยแพร่บทความที่ไม่ได้ดำเนินการแก้ไขปรับปรุงบทความตามข้อเสนอแนะของผู้ทรงคุณวุฒิ</strong></li> <li style="font-weight: 400;"><strong style="font-weight: 500;">กองบรรณาธิการ ขอสงวนสิทธิ์การคืนเงิน ค่าธรรมเนียมการเผยแพร่บทความ ในกรณีไม่ผ่านการพิจารณาจากผู้ทรงคุณวุฒิ </strong></li> </ol> <p><br /> </p> <p> </p> https://so17.tci-thaijo.org/index.php/EduBSRU/article/view/220 การพัฒนาทักษะการฟังและการพูดภาษาอังกฤษของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 โรงเรียนอนุบาลบางละมุง โดยการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือ ร่วมกับการใช้สถานการณ์จําลองและสื่อมัลติมีเดีย 2024-04-18T15:19:25+07:00 นิศราภรณ์ ชาติโสม nitsaraporn.ch.53@gmail.com พจนีย์ มั่งคั่ง nitsaraporn.ch.53@gmail.com พลธาวิน วัชรทรธำรงค์ pholthawin2021@gmail.com <p>การวิจัยครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) พัฒนาทักษะการฟังและการพูดภาษาอังกฤษของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 โดยการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือ ร่วมกับการใช้สถานการณ์จําลองและสื่อมัลติมีเดีย และ 2) ศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 ที่มีต่อการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือ ร่วมกับการใช้สถานการณ์จําลองและสื่อมัลติมีเดีย กลุ่มตัวอย่างในการวิจัยคือ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 จำนวน 32 คน ซึ่งศึกษาอยู่ในภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2566 ได้มาโดยการสุ่มแบบง่าย โดยใช้ห้องเรียนเป็นหน่วยในการสุ่ม เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ประกอบด้วย 1. แผนการจัดการเรียนรู้จำนวน 6 แผน 2. แบบประเมินทักษะการฟัง 3. แบบประเมินทักษะการพูด และ 4. แบบประเมินความพึงพอใจ สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าร้อยละ (%), ค่าเฉลี่ย (<img title="\bar{x}" src="https://latex.codecogs.com/gif.latex?\bar{x}" />), ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.), และการทดสอบค่าที (t-test) แบบ Dependent Samples<br />ผลการวิจัย สรุปได้ดังนี้<br />1) ทักษะการฟังภาษาอังกฤษของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 โดยการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือร่วมกับการใช้สถานการณ์จําลองและสื่อมัลติมีเดีย พบว่า หลังเรียนมีค่าเฉลี่ยสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ ระดับ .05<br />2) ทักษะการพูดภาษาอังกฤษของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 โดยการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือร่วมกับการใช้สถานการณ์จําลองและสื่อมัลติมีเดีย พบว่า หลังเรียนมีค่าเฉลี่ยสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ ระดับ .05<br />3) ความพึงพอใจของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 ที่มีต่อการจัดการเรียนรู้แบบร่วมกับการใช้สถานการณ์จําลองและสื่อมัลติมีเดีย อยู่ในระดับมากที่สุด </p> 2024-06-05T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏบ้านสมเด็จเจ้าพระยา https://so17.tci-thaijo.org/index.php/EduBSRU/article/view/208 การพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน กลุ่มสาระการเรียนรู้ศิลปะ สาระดนตรี เรื่องจังหวะ ตามแนวคิดการสอนของออร์ฟ สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียนวัดโป่ง 2024-05-07T15:36:08+07:00 ณัฐวัฒน์ รสหวาน locationdream_win@hotmail.co.th วีระ วงศ์สรรค์ locationdream_win@hotmail.co.th กัญณภัทร หุ่นสุวรรณ locationdream_win@hotmail.co.th <p>การวิจัยเรื่องการพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน กลุ่มสาระการเรียนรู้ศิลปะ สาระดนตรี เรื่อง จังหวะ ตามแนวคิดการสอนของออร์ฟ สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียนวัดโป่ง มีวัตถุประสงค์คือ 1) เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน 2) เพื่อศึกษาความก้าวหน้าทางการเรียน 3) เพื่อศึกษาความพึงพอใจ โดยมีกลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยได้แก่ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียนวัดโป่ง ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2566 จำนวน 1 ห้องเรียน ซึ่งได้มาจากการสุ่มแบบกลุ่ม (Cluster Random Sampling) มีจำนวนนักเรียน 40 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย 1) เนื้อหาสาระกิจกรรมการเรียนรู้วิชาดนตรี เรื่องจังหวะ ตามแนวคิดการสอนของออร์ฟ 2) แผนการจัดการเรียนรู้ 3) แบบทดสอบวัดผลการเรียนรู้ก่อนและหลังการเรียนรู้มีค่าความเชื่อมั่นเท่ากับ 0.97 และ 4) แบบสอบถามความพึงพอใจสำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 ที่มีต่อการเรียนกลุ่มสาระการเรียนรู้ศิลปะ มีค่าดัชนีความสอดคล้องเท่ากับ 1.00 สถิติที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ 1) ร้อยละ 2) ค่าเฉลี่ย 3) ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และ 4) ความก้าวหน้า<br />สรุปผลการวิจัยดังนี้ <br />1) ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนกลุ่มสาระการเรียนรู้ศิลปะ สาระดนตรี เรื่องจังหวะ ตามแนวคิดการสอนของออร์ฟ หลังเรียนสูงกว่าเกณฑ์ มีคะแนนเฉลี่ยเท่ากับ 25.70 (<img title="\bar{x}" src="https://latex.codecogs.com/gif.latex?\bar{x}" /> =25.70) คิดเป็น ร้อยละ 85.67<br />2) ความก้าวหน้าทางการเรียน กลุ่มสาระการเรียนรู้ศิลปะ สาระดนตรี เรื่องจังหวะ ตามแนวคิดการสอนของออร์ฟ หลังเรียนสูงกว่าเกณฑ์ โดยมีค่าความก้าวหน้าทางการเรียนเท่ากับ 0.80 (&lt;g&gt; = 0.80) <br />3) ความพึงพอใจทางการเรียน กลุ่มสาระการเรียนรู้ศิลปะ สาระดนตรี เรื่องจังหวะ ตามแนวคิดการสอนของออร์ฟ โดยภาพรวมอยู่ในระดับมาก (<img title="\bar{x}" src="https://latex.codecogs.com/gif.latex?\bar{x}" /> = 4.33, S.D. = 0.67)</p> 2024-06-05T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏบ้านสมเด็จเจ้าพระยา https://so17.tci-thaijo.org/index.php/EduBSRU/article/view/226 การพัฒนารูปแบบการจัดการเรียนรู้คณิตศาสตร์ตามแนวคิดคอนสตรัคติวิสต์ ร่วมกับโฟร์แมทซิสเต็มในการส่งเสริมทักษะการคิดอย่างมีวิจารณญาณ สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 กลุ่มโรงเรียนตำบลกวางโจน 2024-04-18T14:38:37+07:00 ศุภลักษณ์ ชัยอาวุธ supaluk.ooye@gmail.com <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) เพื่อพัฒนารูปแบบการจัดการเรียนรู้คณิตศาสตร์ตามแนวคิด คอนสตรัคติวิสต์ร่วมกับโฟร์แมทซิสเต็มในการส่งเสริมทักษะการคิดอย่างมีวิจารณญาณ 2) เพื่อศึกษาผลการใช้รูปแบบการจัดการเรียนรู้คณิตศาสตร์ตามแนวคิดคอนสตรัคติวิสต์ร่วมกับโฟร์แมทซิสเต็มในการส่งเสริมทักษะ การคิดอย่างมีวิจารณญาณ และ 3) เพื่อประเมินและปรับปรุงรูปแบบการจัดการเรียนรู้วิชาคณิตศาสตร์ตามแนวคิดคอนสตรัคติวิสต์ร่วมกับโฟร์แมทซิสเต็มในการส่งเสริมทักษะการคิดอย่างมีวิจารณญาณ กลุ่มตัวอย่างนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 โรงเรียนบ้านหนองกุง กลุ่มโรงเรียนตำบลกวางโจน ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2565 จำนวน 27 คน ซึ่งได้มาจากการสุ่มแบบกลุ่ม เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย คือ รูปแบบการจัดการเรียนรู้คณิตศาสตร์ตามแนวคิดคอนสตรัคติวิสต์ร่วมกับโฟร์แมทซิสเต็มในการส่งเสริมทักษะการคิดอย่างมีวิจารณญาณ แบบวัดการคิดอย่างมีวิจารณญาณ มีค่า ∝=0.89 แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนคณิตศาสตร์ มีค่า ∝=0.95 แบบสอบถามความพึงพอใจต่อการเรียนด้วยรูปแบบการจัดการเรียนรู้ มีค่า ∝=0.93 สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล คือ ค่าเฉลี่ย ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และสถิติ t-test<br />ผลการวิจัยพบว่า<br />1) รูปแบบการจัดการเรียนรู้คณิตศาสตร์ตามแนวคิดคอนสตรัคติวิสต์ร่วมกับโฟร์แมทซิสเต็มในการส่งเสริมทักษะการคิดอย่างมีวิจารณญาณ พบว่า ความเหมาะสมอยู่ในระดับมาก (<img id="CCequation4" src="https://latex.codecogs.com/gif.latex?%5Cbar%7Bx%7D" /> = 4.44, S.D. = 0.58)<br />2) การใช้รูปแบบการจัดการเรียนรู้คณิตศาสตร์ตามแนวคิดคอนสตรัคติวิสต์ร่วมกับโฟร์แมทซิสเต็มในการส่งเสริมทักษะการคิดอย่างมีวิจารณญาณหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 และนักเรียนมีความพึงพอใจต่อรูปแบบการจัดการเรียนรู้คณิตศาสตร์ตามแนวคิดคอนสตรัคติวิสต์ร่วมกับโฟร์แมทซิสเต็มในการส่งเสริมทักษะการคิดอย่างมีวิจารณญาณ อยู่ในระดับมากที่สุด (<img title="\bar{x}" src="https://latex.codecogs.com/gif.latex?\bar{x}" />= 4.32, S.D.=0.46) <br />3) ผู้ทรงคุณวุฒิให้การรับรองรูปแบบการจัดการเรียนรู้คณิตศาสตร์ พบว่า มีค่าดัชนีความสอดคล้อง (IOC) เฉลี่ยเท่ากับ 0.82 ถือว่ามีความเหมาะสมและสามารถนำไปใช้ได้ </p> 2024-06-04T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏบ้านสมเด็จเจ้าพระยา https://so17.tci-thaijo.org/index.php/EduBSRU/article/view/214 ผลการเรียนรู้แบบร่วมมือโดยใช้เทคนิคเกมกลุ่มแข่งขัน ร่วมกับเทคนิคกลุ่ม คู่ เดี่ยว เรื่อง การแยกตัวประกอบของพหุนามดีกรีสอง ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียนนวมินทราชินูทิศ หอวัง นนทบุรี 2024-04-18T16:03:43+07:00 สุภาภรณ์ สดวกดี supaporn.s@chandra.ac.th อารยา นุหมุดหวัง supaporn.s@chandra.ac.th ชนากาญจน์ ธรฤทธิ์ supaporn.s@chandra.ac.th <p>งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อเปรียบเทียบผลการเรียนรู้แบบร่วมมือโดยใช้เทคนิคเกมกลุ่มแข่งขัน ร่วมกับเทคนิคกลุ่ม คู่ เดี่ยว เรื่อง การแยกตัวประกอบของพหุนามดีกรีสอง ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียนนวมินทราชินูทิศ หอวัง นนทบุรี กับเกณฑ์ร้อยละ 60 ของคะแนนเต็ม รูปแบบการวิจัยเป็นการวิจัยเชิงทดลองเบื้องต้น มีแบบแผนการทดลองเป็นแบบศึกษากลุ่มเดียว โดยกลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียนนวมินทราชินูทิศ หอวัง นนทบุรี ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2565 จํานวน 1 ห้องเรียน 37 คน ได้มาโดยการสุ่มกลุ่มตัวอย่างแบบกลุ่ม ซึ่งใช้ห้องเรียนเป็นหน่วยสุ่ม เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ 1) แผนการจัดการเรียนรู้เรื่อง การแยกตัวประกอบของพหุนามดีกรีสอง โดยใช้เทคนิคเกมกลุ่มแข่งขันร่วมกับเทคนิคกลุ่ม คู่ เดี่ยว 2) แบบทดสอบวัดผลการเรียนรู้แบบร่วมมือ เรื่อง การแยกตัวประกอบของพหุนามดีกรีสอง วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และสถิติการทดสอบค่าทีแบบกลุ่มเดียว แบบทดสอบมีค่าดัชนีความสอดคล้อง (IOC) อยู่ระหว่าง 0.67-1.00 ค่าความยากง่ายอยู่ระหว่าง 0.31-0.75 ค่าอำนาจจำแนกอยู่ระหว่าง 0.25-0.75 และค่าความเชื่อมั่นเท่ากับ 0.93<br />ผลการวิจัย พบว่า นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 ของโรงเรียนนวมนทราชินูทิศ หอวัง นนทบุรี มีผลการเรียนรู้แบบร่วมมือ เรื่อง การแยกตัวประกอบของพหุนามดีกรีสอง โดยใช้เทคนิคเกมกลุ่มแข่งขันร่วมกับเทคนิคกลุ่ม คู่ เดี่ยว สูงกว่าเกณฑ์ร้อยละ 60 ของคะแนนเต็ม อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05</p> 2024-05-28T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏบ้านสมเด็จเจ้าพระยา https://so17.tci-thaijo.org/index.php/EduBSRU/article/view/221 การปฏิบัติที่เป็นเลิศด้านการบริหารงานวิชาการ : กรณีศึกษาศูนย์การศึกษาพิเศษ ประจำจังหวัดกาฬสินธุ์ 2024-05-07T14:40:07+07:00 รัฐวิชญ์ ทักขนนท์ babypaino13@gmail.com ธีระพล เพ็งจันทร์ babypaino13@gmail.com <p>การวิจัยครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์ เพื่อ 1) ศึกษาแนวคิดและองค์ประกอบการปฏิบัติที่เป็นเลิศด้านการบริหารงานวิชาการของศูนย์การศึกษาพิเศษ ประจำจังหวัดกาฬสินธุ์และ 2) เพื่อศึกษาการปฏิบัติที่เป็นเลิศด้านการบริหารงานวิชาการที่มีคุณภาพของศูนย์การศึกษาพิเศษ ประจำจังหวัดกาฬสินธุ์ เป็นการวิจัยเชิงคุณภาพกรณีศึกษา (Case Study) กลุ่มเป้าหมาย จำนวน 43 คน ประกอบด้วย ผู้บริหารสถานศึกษา หัวหน้ากลุ่มบริหารงานวิชาการ ครูผู้สอน ผู้ปกครอง และกรรมการสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยในครั้งนี้ ได้แก่ แบบสัมภาษณ์ร่วมกับแบบสังเกต โดยผู้วิจัยนำข้อมูลที่ได้มาตรวจสอบความสมบูรณ์ของการเก็บรวบรวมข้อมูลที่ได้รับ ด้วยวิธีการตรวจสอบสามเส้าด้านวิธีรวบรวมข้อมูล<br />ผลการวิจัยพบว่า<br />1) แนวคิดและองค์ประกอบการปฏิบัติที่เป็นเลิศด้านการบริหารงานวิชาการของศูนย์การศึกษาพิเศษ ประจำจังหวัดกาฬสินธุ์ มีทั้งหมด 5 ด้าน ประกอบด้วย ด้านการพัฒนาหลักสูตรสถานศึกษาด้านการวัดผลและประเมินผล ด้านการนิเทศการศึกษา ด้านการพัฒนาระบบประกันคุณภาพภายในและมาตรฐานการศึกษา และด้านการพัฒนาและการใช้สื่อเทคโนโลยี นวัตกรรมเพื่อการศึกษา ซึ่งผู้วิจัยได้จากการสังเคราะห์เอกสารทางวิชาการและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง<br />2) การปฏิบัติที่เป็นเลิศด้านการบริหารงานวิชาการที่มีคุณภาพของศูนย์การศึกษาพิเศษ ประจำจังหวัดกาฬสินธุ์ ประกอบด้วย 1) สถานศึกษามีการกำหนดจุดมุ่งหมายชัดเจน สอดคล้องกับบริบทของสถานศึกษา ครอบคลุมทุกประเภทความพิการ หลักสูตรมีความหลากหลาย ยืดหยุ่นคำนึงถึงความแตกต่างระหว่างบุคคล 2) สถานศึกษามีการประเมินพัฒนาการโดยใช้แบบประเมินที่มีความหลากหลาย 3) รูปแบบของการนิเทศภายในที่มีประสิทธิภาพส่งผลให้มีผลการพัฒนาศักยภาพเป็นไปตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ 4) กระบวนการควบคุมคุณภาพและการประเมินคุณภาพการศึกษา มีความชัดเจน เน้นพัฒนาจุดอ่อนและเสริมจุดแข็งอย่างมีคุณภาพ และ 5) สถานศึกษาสามารถเชื่อมโยงข้อมูลในการบริหารจัดการสถานศึกษา รวมถึงสามารถนำมาเป็นฐานข้อมูลในการเชื่อมโยงไปยังหน่วยงานอื่น ๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ </p> 2024-06-05T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏบ้านสมเด็จเจ้าพระยา https://so17.tci-thaijo.org/index.php/EduBSRU/article/view/209 การเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนคณิตศาสตร์ เรื่องการคูณ สำหรับนักเรียน ชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 โดยการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือเทคนิค TAI 2024-04-18T16:19:15+07:00 จุฑารัตน์ ไชยายงค์ jutarat.ch@ksu.ac.th ประภาพร หนองหารพิทักษ์ jutarat.ch@ksu.ac.th ปวีณา ขันธ์ศิลา jutarat.ch@ksu.ac.th <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์1) เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนชั้นประถมศึกษา ปีที่ 2 หลังได้รับการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือเทคนิค TAI เทียบกับเกณฑ์ร้อยละ 70 2) เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 ก่อนและหลังได้รับการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือเทคนิค TAI และ 3) เพื่อศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 ที่มีต่อการจัดการเรียนรู้ กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียนบ้านสี่แยกสมเด็จ ตำบลสมเด็จ อำเภอสมเด็จ จังหวัดกาฬสินธุ์ ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2566 จำนวน 1 ห้องเรียน นักเรียนจำนวน 30 คน ซึ่งได้มาจากการสุ่มแบบกลุ่ม เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย คือแผนการจัดการเรียนรู้ แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ และ แบบวัดความพึงพอใจ ค่าสถิติที่ใช้วิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และสถิติทดสอบค่าที<br />ผลการวิจัยพบว่า<br />1) มีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลังได้รับการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือเทคนิค TAI คิดเป็น ร้อยละ 75.33 ซึ่งสูงกว่าเกณฑ์ที่กำหนดไว้<br />2) มีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสําคัญทางสถิติที่ระดับ.05<br />3) ความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อการจัดการเรียนรู้อยู่ในระดับมากมีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 4.26</p> 2024-06-04T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏบ้านสมเด็จเจ้าพระยา https://so17.tci-thaijo.org/index.php/EduBSRU/article/view/227 ผลการจัดการเรียนรู้แบบห้องเรียนกลับด้านร่วมกับนวัตกรรมเทคโนโลยีโลกเสมือนจริง เรื่อง แหล่งอารยธรรมโบราณในภูมิภาคเอเชีย ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียนมัธยมวัดด่านสำโรง 2024-04-18T14:27:08+07:00 ณัฐวุติ จันสุนา nutthawut.kai224@gmail.com ลัลนา วงษ์ประเสริฐ lanlana.wo@ssru.ac.th กรรณิการ์ ภิรมย์รัตน์ kannika.bh@ssru.ac.th วีรพจน์ รัตนวาร weerapoot.ru@ssru.ac.th นัทธิ์ธีร์ โสธรจรัสโชติ Nattee1691@gmail.com <p>รายงานวิจัยในชั้นเรียนนี้ มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อหาประสิทธิภาพนวัตกรรมเทคโนโลยีโลกเสมือนจริง เรื่อง แหล่งอารยธรรมโบราณในภูมิภาคเอเชีย และ2) เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียน เรื่อง แหล่งอารยธรรมโบราณในภูมิภาคเอเชีย ระหว่างก่อนเรียนและหลังเรียน โดยใช้การจัดการเรียนรู้แบบห้องเรียนกลับด้านร่วมกับเทคโนโลยีโลกเสมือนจริง กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย คือ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2/8 โรงเรียนมัธยมวัดด่านสำโรง ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2566 จำนวน 38 คน คัดเลือกเป็นกลุ่มตัวอย่างการวิจัยโดยใช้วิธีการเลือกกลุ่มตัวอย่างแบบเจาะจง (Purposive Sampling) เนื่องจากใช้ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนรู้เป็นเกณฑ์ตามวัตถุประสงค์ของการวิจัย เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ 1) แผนการจัดการเรียนรู้แบบห้องเรียนกลับด้าน เรื่อง แหล่งอารยธรรมโบราณในภูมิภาคเอเชีย 2) นวัตกรรมเทคโนโลยีโลกเสมือนจริง เรื่อง แหล่งอารยธรรมโบราณในภูมิภาคเอเชีย และ3) แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนชนิดเลือกตอบ 4 ตัวเลือก จำนวน 20 ข้อ และชนิดถูก-ผิด 10 ข้อ รวมทั้งสิ้น 30 ข้อ โดยวิธีการให้ผู้เชี่ยวชาญพิจารณาการตรวจสอบคุณภาพด้านความตรง สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนด้วยสถิติทดสอบ t-test</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า<br />1) นวัตกรรมเทคโนโลยีโลกเสมือนจริง เรื่อง แหล่งอารยธรรมโบราณในภูมิภาคเอเชียมีประสิทธิภาพเท่ากับ 83.68/82.28 ซึ่งเป็นไปตามสมมติฐานที่ตั้งไว้ <br />2) นักเรียนที่ได้รับการจัดการเรียนรู้ เรียนโดยใช้การจัดการเรียนรู้แบบห้องเรียนกลับด้านร่วมกับนวัตกรรมเทคโนโลยีโลกเสมือนจริง มีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนเรื่อง แหล่งอารยธรรมโบราณในภูมิภาคเอเชียหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 ซึ่งเป็นไปตามสมมติฐานที่ตั้งไว้</p> 2024-06-05T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏบ้านสมเด็จเจ้าพระยา https://so17.tci-thaijo.org/index.php/EduBSRU/article/view/215 ความคิดรวบยอดพื้นฐานทางคณิตศาสตร์ของนักเรียนชั้นอนุบาลปีที่ 1/1 โรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยราชภัฏบ้านสมเด็จเจ้าพระยา (ปฐมวัย) ที่ได้รับการจัดกิจกรรมการเล่น 2024-04-18T15:58:04+07:00 ธนภรณ์ ทองเขียว jajathanaphon18@gmail.com รัศมี ตันเจริญ jajathanaphon18@gmail.com อารีย์ลักษณ์ เวือมประโคน jajathanaphon18@gmail.com <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาและเปรียบเทียบความคิดรวบยอดพื้นฐานทางคณิตศาสตร์ของนักเรียนชั้นอนุบาลปีที่ 1/1 โรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยราชภัฏบ้านสมเด็จเจ้าพระยา (ปฐมวัย) ก่อนและหลังที่ได้รับการจัดกิจกรรมการเล่น ประชากรที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ เป็นนักเรียนชั้นอนุบาลปีที่ 1/1 ที่กำลังศึกษาอยู่ในภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2566 โรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยราชภัฏบ้านสมเด็จเจ้าพระยา (ปฐมวัย) สังกัดมหาวิทยาลัยราชภัฏบ้านสมเด็จเจ้าพระยา กรุงเทพมหานคร จำนวน 17 คน เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูล คือ แบบทดสอบวัดความคิดรวบยอดพื้นฐานทางคณิตศาสตร์ และแผนการจัดกิจกรรมการเล่น โดยใช้แบบแผนการวิจัยแบบกลุ่มทดลองกลุ่มเดียว วัดผลก่อนและหลังการทดลอง สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ ได้แก่ ค่าคะแนนเฉลี่ย (Mean) ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (Standard Deviation) และค่าร้อยละ (Percentage) ของค่าคะแนนเฉลี่ย และค่าเฉลี่ยความแตกต่างระหว่างคะแนนแต่ละคู่</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า</p> <p>นักเรียนชั้นอนุบาลปีที่ 1/1 ที่ได้รับการจัดกิจกรรมการเล่นมีความคิดรวบยอดพื้นฐานทางคณิตศาสตร์สูงขึ้น (<img title="\bar{D}" src="https://latex.codecogs.com/gif.latex?\bar{D}" /> = 16.06) และอยู่ในระดับดีมาก (<img title="\mu" src="https://latex.codecogs.com/gif.latex?\mu" /><em> </em>= 23.65, <img title="\sigma" src="https://latex.codecogs.com/gif.latex?\sigma" /> = 0.97) เมื่อพิจารณาเป็นรายด้าน พบว่า มีความคิดรวบยอดพื้นฐานทางคณิตศาสตร์สูงขึ้นและอยู่ในระดับดีมากทุกด้าน ซึ่งได้แก่ ด้านการจับคู่หนึ่งต่อหนึ่ง (<img title="\bar{D}" src="https://latex.codecogs.com/gif.latex?\bar{D}" /> =5.18, <img title="\mu" src="https://latex.codecogs.com/gif.latex?\mu" /> =5.94 คิดเป็น 99.02% และ <img title="\sigma" src="https://latex.codecogs.com/gif.latex?\sigma" /> =0.24) ด้านการจำแนก (<img title="\bar{D}" src="https://latex.codecogs.com/gif.latex?\bar{D}" /> =4.53, <img title="\mu" src="https://latex.codecogs.com/gif.latex?\mu" /> =6 คิดเป็น 100% และ <img title="\sigma" src="https://latex.codecogs.com/gif.latex?\sigma" /> =0) ด้านการเปรียบเทียบ (<img title="\bar{D}" src="https://latex.codecogs.com/gif.latex?\bar{D}" /> = 1.95, <img title="\mu" src="https://latex.codecogs.com/gif.latex?\mu" /> =5.71 คิดเป็น 95.10% และ <img title="\sigma" src="https://latex.codecogs.com/gif.latex?\sigma" /> =0.82) และด้านการเรียงลำดับ (<img title="\bar{D}" src="https://latex.codecogs.com/gif.latex?\bar{D}" /> =4.41, <img title="\mu" src="https://latex.codecogs.com/gif.latex?\mu" /> =6 คิดเป็น 100% และ <img title="\sigma" src="https://latex.codecogs.com/gif.latex?\sigma" /> =0)</p> 2024-05-28T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏบ้านสมเด็จเจ้าพระยา https://so17.tci-thaijo.org/index.php/EduBSRU/article/view/222 การพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนเรื่องอัตราส่วน ด้วยการจัดการเรียนรู้ โดยใช้เกมเป็นฐาน ของนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 2024-04-19T10:44:18+07:00 วสันต์ เดือนแจ้ง kent2513@gmail.com ปิยดา เปรมประยูร kent2513@gmail.com <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนเรื่องอัตราส่วนก่อนและหลังการจัดการเรียนรู้โดยใช้เกมเป็นฐาน 2) เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนเรื่องอัตราส่วนหลังการจัดการเรียนรู้โดยใช้เกมเป็นฐานกับเกณฑ์ร้อยละ 70 3) เพื่อศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อจัดการเรียนรู้โดยใช้เกมเป็นฐาน กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2566 โรงเรียนอู่ทอง สุพรรณบุรี จำนวน 1 ห้องเรียน รวมนักเรียนทั้งหมด 39 คน ได้มาจากการสุ่มอย่างง่าย เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ แผนการจัดการเรียนรู้ แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนและแบบสอบถามความพึงพอใจ สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และทดสอบสมมติฐานโดยใช้สถิติทดสอบที (t–test)<br />ผลการวิจัย <br />1. ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนหลังการจัดการเรียนรู้โดยใช้เกมเป็นฐานสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 <br />2. ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนหลังการจัดการเรียนรู้โดยใช้เกมเป็นฐานสูงกว่าเกณฑ์ร้อยละ 70 อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 <br />3. ความพึงพอใจทางการเรียนของนักเรียนต่อการจัดการเรียนรู้โดยใช้เกมเป็นฐานโดยเฉลี่ยอยู่ในระดับมากที่สุด <br /><br /></p> 2024-06-04T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏบ้านสมเด็จเจ้าพระยา https://so17.tci-thaijo.org/index.php/EduBSRU/article/view/210 ธรรมาภิบาลของผู้บริหารสถานศึกษาในสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่ การศึกษาประถมศึกษาสระบุรี เขต 2 2024-04-18T16:22:56+07:00 ณัฐภรณ์ รามจะตุ natramchatu55@gmail.com รัตนา กาญจนพันธุ์ arjarnratana@gmail.com <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาระดับธรรมาภิบาลผู้บริหารสถานศึกษา ในสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสระบุรีเขต 2 และ 2) เปรียบเทียบธรรมาภิบาลของผู้บริหารสถานศึกษาตามความคิดเห็นของครูในสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสระบุรีเขต 2 จำแนกตามเพศ วุฒิการศึกษา และประสบการณ์การทำงาน ใน 6 ด้าน ประกอบด้วย 1) ด้านหลักนิติธรรม 2) ด้านหลักคุณธรรม 3) ด้านหลักความโปร่งใส 4) ด้านหลักการมีส่วนร่วม 5) ด้านหลักความรับผิดชอบ 6) ด้านหลักความคุ้มค่า กลุ่มตัวอย่างใช้ในการวิจัย คือ ครูโรงเรียนในสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสระบุรี เขต 2 ปีการศึกษา 2566 จำนวน 285 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย คือแบบสอบถามความคิดเห็นของครูเกี่ยวกับธรรมาภิบาลของผู้บริหารสถานศึกษาแบบมาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดับ มีค่าความเชื่อมั่นของแบบสอบถามเท่ากับ .98 สถิติที่ใช้ในการวิจัย คือ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน การทดสอบค่าที การวิเคราะห์ความแปรปรวน <br />ผลการวิจัยพบว่า <br />1. ผู้บริหารสถานศึกษาในสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสระบุรีเขต 2 มี<br />ธรรมาภิบาลในภาพรวมอยู่ในระดับมากที่สุด เรียงลำดับค่าเฉลี่ยจากสูงสุดไปหาค่าเฉลี่ยต่ำสุดได้แก่ ด้านหลักคุณธรรม ด้านหลักความโปร่งใส ด้านหลักความคุ้มค่า ด้านหลักนิติธรรม ด้านหลักมีส่วนร่วม และด้านหลักความรับผิดชอบตามลำดับ<br />2. ครูที่มีเพศต่างกัน วุฒิการศึกษาต่างกัน ประสบการณ์การทำงานต่างกันมีความคิดเห็นต่อ<br />ธรรมาภิบาลของผู้บริหารสถานศึกษาในสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสระบุรีเขต 2 โดยภาพรวมและรายด้านไม่แตกต่างกัน</p> 2024-06-05T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏบ้านสมเด็จเจ้าพระยา https://so17.tci-thaijo.org/index.php/EduBSRU/article/view/229 การพัฒนาหลักสูตรศิลปะป้องกันตัวสำหรับการพัฒนาทักษะและความสามารถใน การป้องกันตัวขั้นพื้นฐานของผู้เรียนที่มีความสนใจในศิลปะการต่อสู้และป้องกันตัว 2024-04-18T11:22:40+07:00 ภาณุ กุศลวงศ์ phanu@g.swu.ac.th <p>การวิจัยครั้งนี้ มีจุดมุ่งหมายเพื่อการพัฒนาหลักสูตรศิลปะป้องกันตัวสำหรับการพัฒนาทักษะและความสามารถในการป้องกันตัวขั้นพื้นฐานของผู้เรียนที่มีความสนใจในศิลปะการต่อสู้และป้องกันตัว โดยผู้วิจัยได้ศึกษาเอกสาร งานวิจัย และทำการสัมภาษณ์เชิงลึก และสรุปเป็นร่างหลักสูตรศิลปะป้องกันตัวระยะสั้น และนำร่างหลักสูตรที่ได้จากการวิเคราะห์มาทำการสนทนากลุ่ม วิเคราะห์ค่าความสอดคล้องของความคิดเห็นผู้ทรงคุณวุฒิ จำนวน 17 ท่าน ประกอบด้วย ด้านสุขศึกษาและพลศึกษา ด้านหลักสูตรและการสอน และด้านการวัดประเมินผล โดยมีความตรงเชิงเนื้อหาเท่ากับ 1.00 เพื่อพิจารณาความถูกต้อง เหมาะสม และความเป็นไปได้ของการนำหลักสูตรศิลปะป้องกันตัวระยะสั้นไปใช้ <br />ผลการวิจัย พบว่า หลักสูตรศิลปะป้องกันตัว ระยะสั้น ประกอบด้วย 1) จุดมุ่งหมายของหลักสูตร เพื่อพัฒนาทักษะและความสามารถในการป้องกันตัวขั้นพื้นฐาน 2) โครงสร้างของหลักสูตร ประกอบด้วย (2.1) การยืน (2.2) การเคลื่อนที่ (2.3) การชก (2.4) การศอก (2.5) การเข่า (2.6) การเตะ (2.7) การทุ่มและการนำคู่ต่อสู้ลงสู่พื้น และ (2.8) การจับล็อค 3) เวลาเรียน 4) แผนการจัดการเรียนรู้ หลักสูตรมุ่งพัฒนาทักษะและความจำเป็นขั้นพื้นฐานของการป้องกันตัวโดยเฉพาะในส่วนของการมีความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้องและการปฏิบัติตัวทางด้านของการประกอบท่าต่าง ๆ ตามลำดับขั้นโดยมีเทคนิควิธี การบริหารจัดการ การแก้ปัญหาเฉพาะด้าน และการคาดการณ์ในสิ่งที่จะเกิดขึ้นในอนาคต ทั้งนี้เพื่อนำไปสู่เป้าหมายที่สำคัญคือการพัฒนาผู้ที่สนใจและผู้เรียนให้มีศักยภาพและมีความรู้มีความสมบูรณ์ครอบคลุมวัตถุประสงค์ของหลักสูตรซึ่งจะนำไปใช้ให้เกิดประโยชน์และการป้องกันตัวได้อย่างเกิดประสิทธิผลสูงสุด</p> 2024-06-05T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏบ้านสมเด็จเจ้าพระยา https://so17.tci-thaijo.org/index.php/EduBSRU/article/view/218 ความสัมพันธ์ระหว่างภาวะผู้นำการเปลี่ยนแปลงของผู้บริหารสถานศึกษากับ ความสุขในการทำงานของครู สังกัดกรุงเทพมหานคร 2024-04-18T15:40:41+07:00 ปิยมาภรณ์ โตชะนก 6514470048@rumail.ru.ac.th อำนวย ทองโปร่ง amnuay.t@rumail.ru.ac.th <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาภาวะผู้นำการเปลี่ยนแปลงของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดกรุงเทพมหานคร 2) ศึกษาความสุขในการทำงานของครู สังกัดกรุงเทพมหานคร และ 3) หาความสัมพันธ์ระหว่างภาวะผู้นำการเปลี่ยนแปลงของผู้บริหารสถานศึกษากับความสุขในการทำงานของครู สังกัดกรุงเทพมหานคร กลุ่มตัวอย่างคือ ครู สังกัดกรุงเทพมหานคร ปีการศึกษา 2566 โดยกำหนดขนาดกลุ่มตัวอย่างจากการเปิดตารางสำเร็จรูปของโคเฮน ได้กลุ่มตัวอย่างจำนวน 370 คน ใช้วิธีการสุ่มกลุ่มตัวอย่างแบบแบ่งชั้นภูมิจากนั้นสุ่มกลุ่มตัวอย่างอย่างง่ายตามสัดส่วนของขนาดโรงเรียน เครื่องมือที่ ใช้ในการวิจัย คือ แบบสอบถามเกี่ยวกับภาวะผู้นำการเปลี่ยนแปลงของผู้บริหารสถานศึกษากับความสุขในการทำงานของครู สังกัดกรุงเทพมหานคร สถิติที่ใช้ในการวิจัย คือ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ของเพียร์สัน (Pearson's Product–Moment Correlation Coefficient)<br />ผลการวิจัยพบว่า<br />1) ภาวะผู้นำการเปลี่ยนแปลงของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดกรุงเทพมหานคร โดยภาพรวมและรายด้านอยู่ในระดับมาก เรียงลำดับค่าเฉลี่ยจากมากไปน้อย ได้แก่ ด้านการมีอิทธิพลอย่างมีอุดมการณ์ ด้านกระตุ้นทางปัญญา ด้านการสร้างแรงบันดาลใจ และด้านการคำนึงถึงความเป็นปัจเจกบุคคล ตามลำดับ<br />2) ความสุขในการทำงานของครู สังกัดกรุงเทพมหานคร โดยภาพรวมและรายด้านอยู่ในระดับมาก เรียงลำดับค่าเฉลี่ยจากมากไปน้อย ได้แก่ ด้านความรักในการทำงาน ด้านความสำเร็จในงาน ด้านการติดต่อสัมพันธ์ และด้านการเป็นที่ยอมรับ ตามลำดับ<br />3) ภาวะผู้นำการเปลี่ยนแปลงของผู้บริหารสถานศึกษากับความสุขในการทำงานของครู สังกัดกรุงเทพมหานคร มีความสัมพันธ์กันทางบวกอยู่ในระดับปานกลาง อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01</p> <p> </p> 2024-05-28T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏบ้านสมเด็จเจ้าพระยา https://so17.tci-thaijo.org/index.php/EduBSRU/article/view/206 พฤติกรรมการตัดสินใจของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษากรุงเทพมหานคร เขต 2 2024-04-18T16:35:18+07:00 วนิดา แสนแก้ว 6514470047@rumail.ru.ac.th อำนวย ทองโปร่ง amnuay.t@rumail.ru.ac.th <p>การวิจัยครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาระดับพฤติกรรมการตัดสินใจของผู้บริหารสถานศึกษา ตามความคิดเห็นของครู สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษากรุงเทพมหานคร เขต 2 และ2) เปรียบเทียบพฤติกรรมการตัดสินใจของผู้บริหารสถานศึกษา ตามความคิดเห็นของครู สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษากรุงเทพมหานคร เขต 2 โดยจำแนกตามวุฒิการศึกษา ตำแหน่ง และประสบการณ์ในการทำงาน กลุ่มตัวอย่าง คือ ครูที่สอนในโรงเรียนสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษากรุงเทพมหานคร เขต 2 ที่ปฏิบัติการสอนในปีการศึกษา 2566 จำนวน 357 คน ได้มาโดยการกำหนดขนาดกลุ่มตัวอย่างตามตารางของโคเฮนและคณะ (Cohen, Manion, and Morrison) เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ แบบสอบถาม มีค่าความเชื่อมั่นเท่ากับ 0.987 สถิติที่ใช้ในการวิจัย คือ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน การทดสอบค่าที การวิเคราะห์ความแปรปรวนแบบทางเดียว และการเปรียบเทียบความแตกต่างของคะแนนเฉลี่ยเป็นรายคู่ด้วยวิธีการของเชฟเฟ่ <br />ผลการวิจัยพบว่า<br />1. ผลการศึกษาระดับพฤติกรรมการตัดสินใจของผู้บริหารสถานศึกษา ตามความคิดเห็นของครูสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษากรุงเทพมหานคร เขต 2 โดยภาพรวมอยู่ในระดับมากและรายด้านอยู่ในระดับมากและมากที่สุด <br />2. ผลการเปรียบเทียบพฤติกรรมการตัดสินใจของผู้บริหารสถานศึกษา ตามความคิดเห็นของครู สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษากรุงเทพมหานคร เขต 2 พบว่า ครูที่มีวุฒิการศึกษาตำแหน่ง และประสบการณ์ในการทำงานต่างกัน มีความคิดเห็นต่อพฤติกรรมการตัดสินใจของผู้บริหารสถานศึกษาสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษากรุงเทพมหานคร เขต 2 โดยภาพรวมและ<br />รายด้านแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05</p> <p><br /><br /></p> 2024-05-28T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏบ้านสมเด็จเจ้าพระยา https://so17.tci-thaijo.org/index.php/EduBSRU/article/view/224 การพัฒนาความสามารถในการเรียนรู้แบบนำตนเอง ด้วยการจัดการเรียนรู้โดยใช้ปัญหาเป็นฐานของนักศึกษาชั้นปีที่ 4 2024-04-18T15:00:19+07:00 นิศาชล ฉัตรทอง nisachon.diwvy@hotmail.com เพ็ญพร ทองคำสุก nisachon.diwvy@hotmail.com <p>การวิจัยมีวัตถุประสงค์ เพื่อเปรียบเทียบความสามารถในการเรียนรู้แบบนำตนเองด้วยการจัดการเรียนรู้โดยใช้ปัญหาเป็นฐานของนักศึกษาชั้นปีที่ 4 ระหว่างก่อนและหลังเรียน กลุ่มตัวอย่าง คือ นักศึกษาชั้นปีที่ 4 จำนวน 21 คน สาขาวิชารัฐประศาสนศาสตร์ คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏบ้านสมเด็จเจ้าพระยา ที่กำลังศึกษารหัสวิชา 213412 รายวิชาภาวะผู้นำ ประจำภาคเรียน 1 ปีการศึกษา 2566 หมู่เรียนที่ 1 จากการสุ่มกลุ่มตัวอย่างแบบแบ่งกลุ่ม เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย คือ 1) แผนการจัดการเรียนรู้โดยใช้ปัญหาเป็นฐาน โดยทุกแผนการจัดการเรียนรู้มีค่าดัชนีความสอดคล้องเท่ากับ 1.00 2) แบบวัดความสามารถในการเรียนรู้แบบนำตนเอง มีค่าดัชนีความสอดคล้อง เท่ากับ 1.00 และมีค่าความเชื่อมั่น เท่ากับ 0.84 สถิติที่ใช้ในการวิจัย คือ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และเปรียบเทียบค่าเฉลี่ยระหว่างกลุ่มตัวอย่างสองกลุ่มที่ไม่เป็นอิสระจากกัน <br />ผลการวิจัย พบว่า <br />1) การจัดการเรียนรู้โดยใช้ปัญหาเป็นฐานในรายวิชาภาวะผู้นำ จำนวน 3 หน่วยการเรียนรู้ โดยหน่วยการเรียนรู้ละ จำนวน 4 ชั่วโมง รวม 12 ชั่วโมง คือ 1) ธรรมภิบาลของผู้นำ 2) ภาวะผู้นำยุคใหม่ จำนวน 4 ชั่วโมง 3) กรณีศึกษา ผู้นำของประเทศไทย และผู้นำระดับโลก มี 5 ขั้นการสอน คือ 1) การออกแบบปัญหา 2) สร้างสถานการณ์ 3) การทำงานเป็นกลุ่ม 4) การนำเสนอและอภิปราย และ 5) การประเมินและสรุป <br />2) ความสามารถในการเรียนรู้แบบนำตนเอง ด้วยการจัดการเรียนรู้โดยใช้ปัญหาเป็นฐานของนักศึกษาชั้นปีที่ 4 หลังเรียนมีคะแนนเฉลี่ยสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 ถือได้ว่ามีการพัฒนาความสามารถในการเรียนรู้แบบนำตนเองเพิ่มขึ้น</p> 2024-06-05T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏบ้านสมเด็จเจ้าพระยา https://so17.tci-thaijo.org/index.php/EduBSRU/article/view/211 การพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ เรื่อง โจทย์ปัญหาการบวกและ การลบของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 โดยใช้วิธีการจัดการเรียนรู้แบบ KWDL ร่วมกับเทคนิคบาร์โมเดล 2024-04-30T10:20:13+07:00 ปภาดา กางอันเดช papada.ka@ksu.ac.th ประภาพร หนองหารพิทักษ์ prapaporn.no@ksu.ac.th ปวีณา ขันธ์ศิลา paweena.kh@ksu.ac.th <p>การวิจัยมีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) พัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ เรื่อง โจทย์ปัญหาการบวกและการลบ ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 โดยใช้วิธีการจัดการเรียนรู้แบบ KWDL ร่วมกับเทคนิคบาร์โมเดลเทียบกับเกณฑ์ร้อยละ 70 2) เปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ก่อนและหลังเรียนโดยใช้วิธีการจัดการเรียนรู้แบบ KWDL ร่วมกับเทคนิคบาร์โมเดล และ 3) ศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนหลังการจัดการเรียนรู้ กลุ่มเป้าหมายในการวิจัย ได้แก่ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 กำลังศึกษาในภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2566 โรงเรียนชุมชนยอดแก่งสงเคราะห์ จำนวน 1 ห้องเรียน นักเรียนจำนวน 25 คน ซึ่งได้มาจากการเลือกแบบเจาะจง เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยคือ แผนการจัดการเรียนรู้จำนวน 6 แผน แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์จำนวน 1 ฉบับ มีค่าความยากง่ายระหว่าง 0.36 - 0.71 ค่าอำนาจจำแนกระหว่าง 0.29 - 0.86 ค่าความเชื่อมั่นเท่ากับ 0.83 และแบบวัดความพึงพอใจจำนวน 1 ฉบับ จำนวน 10 ข้อ มีค่าดัชนีความสอดคล้องเท่ากับ 1.00 สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าเฉลี่ย ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน ค่าร้อยละ และสถิติทดสอบที <br />ผลการวิจัยพบว่า <br />1) นักเรียนมีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนคณิตศาสตร์ เรื่อง โจทย์ปัญหาการบวกและการลบ ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 หลังได้รับการจัดการเรียนรู้ มีค่าเฉลี่ย 14.72 สูงกว่าเกณฑ์ร้อยละ 70 อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 <br />2) นักเรียนมีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนคณิตศาสตร์หลังเรียนโดยใช้วิธีการจัดการเรียนรู้แบบ KWDL ร่วมกับเทคนิคบาร์โมเดลสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05<br />3) ความพึงพอใจของนักเรียนต่อการจัดการเรียนรู้อยู่ในระดับมากที่สุด มีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 4.69 ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานเท่ากับ 0.42</p> 2024-06-04T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏบ้านสมเด็จเจ้าพระยา https://so17.tci-thaijo.org/index.php/EduBSRU/article/view/230 การพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร์เรื่องทฤษฎีบทพีทาโกรัส โดยใช้การจัดการเรียนรู้ด้วยเทคนิคเพื่อนคู่คิด (Think-pair-share) 2024-04-19T10:42:57+07:00 ศตนันทน์ ทิพวรวิมล satanan.th@ku.th มลฤดี ศรีรังสรรค์ Satanan.th@ku.th <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ของการวิจัย 1) เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนรายวิชาคณิตศาสตร์ก่อนและหลังการจัดการเรียนรู้โดยใช้เทคนิคเพื่อนคู่คิด (Think-pair-share) 2) เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนรายวิชาคณิตศาสตร์หลังการจัดการเรียนรู้โดยใช้เทคนิคเพื่อนคู่คิด (Think-pair-share) เรื่องทฤษฎีบทพีทาโกรัส ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 กับเกณฑ์ร้อยละ 70 3) เพื่อศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อจัดการเรียนรู้โดยใช้เทคนิคเพื่อนคู่คิด (Think-pair-share) กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2566 โรงเรียนอู่ทอง สุพรรณบุรี จำนวน 1 ห้องเรียน รวมนักเรียนทั้งหมด 40 คน ได้มาจากการสุ่มอย่างง่าย เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ แผนการจัดการเรียนรู้ แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนและแบบสอบถามวัดความพึงพอใจ สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และทดสอบสมมติฐานโดยใช้สถิติทดสอบที (t–test)</p> <p>ผลการวิจัย <br>1. ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนหลังการจัดการเรียนรู้โดยใช้เทคนิคเพื่อนคู่คิด (Think-pair-share) สูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 <br>2. ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนหลังการจัดการเรียนรู้โดยใช้เทคนิคเพื่อนคู่คิด (Think-pair-share) สูงกว่าเกณฑ์ร้อยละ 70 อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 <br>3. ความพึงพอใจทางการเรียนของนักเรียนที่ใช้การจัดการเรียนรู้โดยใช้เทคนิคเพื่อนคู่คิด (Think-pair-share) อยู่ในระดับมากที่สุด</p> 2024-06-05T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏบ้านสมเด็จเจ้าพระยา https://so17.tci-thaijo.org/index.php/EduBSRU/article/view/219 การศึกษาความสามารถในการแก้ปัญหาคณิตศาสตร์ เรื่อง เลขทศนิยม ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 โรงเรียนไตรรัตนาภิรักษ์ โดยใช้รูปแบบการแก้ปัญหาด้วยวิธีของโพลยาร่วมกับการจัดการเรียนรู้แบบ STAD 2024-04-18T15:36:22+07:00 นราธิป อิสรานุสรณ์ naratip.i@chandra.ac.th ตะวัน พันพิบูลย์ naratip.i@chandra.ac.th ศรีอาภา เปรมฤทัย naratip.i@chandra.ac.th <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาความสามารถในการแก้ปัญหาคณิตศาสตร์เรื่องเลขทศนิยม หลังการจัดการเรียนรู้โดยใช้รูปแบบการแก้ปัญหาด้วยวิธีของโพลยาร่วมกับการจัดการเรียนรู้แบบ STAD กลุ่มตัวอย่าง คือ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6/2 โรงเรียนไตรรัตนาภิรักษ์ กรุงเทพมหานคร ภาคการศึกษาที่ 1 ปีการศึกษา 2565 จำนวน 22 คน ด้วยวิธีการสุ่มแบบแบ่งกลุ่ม มีเหตุผลสำคัญ หลายประการที่สนับสนุนในการเลือกนักเรียนห้องนี้เป็นกลุ่มตัวอย่าง ยกตัวอย่างเช่น นักเรียนห้องนี้ มีความตั้งใจเรียนในเวลาที่ครูสอน เป็นนักเรียนที่ช่างสังเกตและมีความกล้าแสดงออกในการถามครูสำหรับคำถามหรือโจทย์ปัญหาที่ยังไม่เข้าใจ และพร้อมที่จะช่วยกันอธิบายวิธีการหาคำตอบของคำถามหรือโจทย์ปัญหาแต่ละข้อให้เพื่อนในกลุ่มหรือในห้องเรียน โดยนักเรียนที่มีทักษะการคิดคำนวณในการแก้โจทย์ปัญหาจะเป็นตัวแทนในการอธิบายเพื่อนๆ เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย คือ 1) แผนการจัดการเรียนรู้ เรื่อง เลขทศนิยม โดยใช้รูปแบบการแก้ปัญหาด้วยวิธีของโพลยาร่วมกับการจัดการเรียนรู้แบบ STAD จำนวน 4 แผน และ 2) แบบทดสอบวัดความสามารถในการแก้ปัญหาคณิตศาสตร์ เรื่อง เลขทศนิยม สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าเฉลี่ย ร้อยละ และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน <br />ผลการวิจัยพบว่า ความสามารถในการแก้ปัญหาคณิตศาสตร์หลังการจัดการเรียนรู้ เรื่อง เลขทศนิยม โดยใช้รูปแบบการแก้ปัญหาด้วยวิธีของโพลยาร่วมกับการจัดการเรียนรู้แบบ STAD มีคะแนน คิดเป็นค่าเฉลี่ย เท่ากับ 30.09 และมีส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน 8.57 คะแนนเฉลี่ยคิดเป็นร้อยละ 75.23 </p> 2024-06-05T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏบ้านสมเด็จเจ้าพระยา https://so17.tci-thaijo.org/index.php/EduBSRU/article/view/207 การพัฒนาผลการเรียนรู้ กลุ่มสาระการเรียนรู้ศิลปะ สาระนาฏศิลป์ เรื่อง นาฏยศัพท์ โดยใช้การจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือ เทคนิค STAD ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 2024-04-18T16:30:01+07:00 วาสิตา หุ่นศรี wasita4742@gmail.com วีระ วงศ์สรรค์ wasita4742@gmail.com กัญณภัทร หุ่นสุวรรณ wasita4742@gmail.com <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) พัฒนาผลการเรียนรู้ 2) ศึกษาความก้าวหน้าทางการเรียน และ 3) ศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อการเรียนรู้ กลุ่มสาระการเรียนรู้ศิลปะ สาระนาฏศิลป์ เรื่อง นาฏยศัพท์ โดยใช้การจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือ เทคนิค STAD ของนักเรียน ชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 ประชากรประกอบด้วย นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 ที่ศึกษาอยู่ในภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2566 กลุ่มตัวอย่าง คือ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4/1 จำนวน 40 คน ได้มาจากการสุ่มแบบกลุ่ม (Cluster random sampling) เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ 1) ชุดเนื้อหาสาระกิจกรรมการเรียนรู้ เรื่อง นาฏยศัพท์ 2) แผนการจัดการเรียนรู้ โดยใช้การจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือ เทคนิค STAD 3) แบบทดสอบวัดผลการเรียนรู้ และ 4) แบบวัดความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อการเรียนรู้ สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และความก้าวหน้า<br />ผลการวิจัยพบว่า <br />1) ผลการเรียนรู้ กลุ่มสาระการเรียนรู้ศิลปะ สาระนาฏศิลป์ เรื่อง นาฏยศัพท์ โดยใช้การจัด การเรียนรู้แบบร่วมมือ เทคนิค STAD หลังเรียนสูงกว่าเกณฑ์ มีคะแนนเฉลี่ยรวมเท่ากับ 25.08 คิดเป็นร้อยละ 83.58 <br />2) ความก้าวหน้าทางการเรียน กลุ่มสาระการเรียนรู้ศิลปะ สาระนาฏศิลป์ เรื่อง นาฏยศัพท์ โดยใช้การจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือ เทคนิค STAD หลังเรียนสูงกว่าเกณฑ์ โดยมีความก้าวหน้าทางการเรียนเท่ากับ 0.74 (&lt;g&gt; = 0.74)<br />3) ความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อการเรียนรู้ กลุ่มสาระการเรียนรู้ศิลปะ สาระนาฏศิลป์ เรื่อง นาฏยศัพท์ โดยใช้การจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือ เทคนิค STAD เรื่องนาฏยศัพท์ ในภาพรวมอยู่ในระดับมาก </p> 2024-05-28T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏบ้านสมเด็จเจ้าพระยา https://so17.tci-thaijo.org/index.php/EduBSRU/article/view/225 ผลการจัดการเรียนรู้โดยใช้การคิดแก้ปัญหาแบบฮิวริสติกส์ที่มีต่อผลสัมฤทธิ์ ทางการเรียนและความคงทนในการเรียนรู้วิชาคณิตศาสตร์ เรื่อง ระบบสมการเชิงเส้น สองตัวแปร ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 2024-04-19T10:43:39+07:00 พงศ์รัศมิ์ เฟื่องฟู pongrus.ph@bsru.ac.th กิติภูมิ กมลชัยสุข pongrus.ph@bsru.ac.th สมภพ แซ่ลี้ pongrus.ph@bsru.ac.th ปุณยวัจน์ โพธิ์เกิด pongrus.ph@bsru.ac.th <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ดังนี้ (1) เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ เรื่อง ระบบสมการเชิงเส้นสองตัวแปร ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ก่อนเรียนและหลังเรียนโดยใช้การคิดแก้ปัญหาแบบฮิวริสติกส์ (2) เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ เรื่อง ระบบสมการเชิงเส้นสองตัวแปร ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 หลังเรียนโดยใช้การคิดแก้ปัญหาแบบ ฮิวริสติกส์ กับเกณฑ์ร้อยละ 60 (3) เพื่อศึกษาความคงทนในการเรียนรู้วิชาคณิตศาสตร์ เรื่อง ระบบสมการเชิงเส้นสองตัวแปร ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 หลังเรียนโดยใช้การคิดแก้ปัญหาแบบฮิวริสติกส์ และ (4) เพื่อศึกษาความพึงพอใจที่มีต่อการจัดการเรียนรู้โดยใช้การคิดแก้ปัญหาแบบฮิวริสติกส์ เรื่อง ระบบสมการเชิงเส้นสองตัวแปร ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ คือ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2565 โรงเรียนวัดสุทธิวราราม จำนวน 1 ห้อง รวมทั้งสิ้น 33 คน ซึ่งได้มาด้วยวิธีการสุ่มอย่างง่ายโดยใช้ห้องเรียนเป็นหน่วยในการสุ่ม เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ (1) แผนการจัดการเรียนรู้โดยใช้การคิดแก้ปัญหาแบบฮิวริสติกส์ เรื่อง ระบบสมการ เชิงเส้นสองตัวแปร จำนวน 8 แผน (2) แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่อง ระบบสมการเชิงเส้นสองตัวแปร จำนวน 15 ข้อ มีค่าความยากง่าย (p) ตั้งแต่ 0.57 ถึง 0.76 มีค่าอำนาจจำแนก (r) ตั้งแต่ 0.21 ถึง 0.58 และมีค่าความเชื่อมั่น (r<sub>tt</sub>) ของแบบทดสอบทั้งฉบับเท่ากับ 0.90 และ (3) แบบวัดความ พึงพอใจที่มีต่อการจัดการเรียนรู้โดยใช้การคิดแก้ปัญหาแบบฮิวริสติกส์ จำนวน 15 ข้อ และสถิติที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ ค่าเฉลี่ย (<img title="\bar{x}" src="https://latex.codecogs.com/gif.latex?\bar{x}" />) ค่าร้อยละ (P) ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S) และทดสอบสมมติฐานโดยใช้ ค่าที (t-test)<br />ผลการวิจัยพบว่า<br />1. ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ เรื่อง ระบบสมการเชิงเส้นสองตัวแปร หลังเรียนโดยใช้การคิดแก้ปัญหาแบบฮิวริสติกส์ สูงกว่าก่อนเรียน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05<br />2. ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ เรื่อง ระบบสมการเชิงเส้นสองตัวแปร หลังเรียนโดยใช้การคิดแก้ปัญหาแบบฮิวริสติกส์ สูงกว่าเกณฑ์ร้อยละ 60 อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05<br />3. นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 มีความคงทนในการเรียนรู้วิชาคณิตศาสตร์ เรื่อง ระบบสมการเชิงเส้นสองตัวแปร หลังเรียนโดยใช้การคิดแก้ปัญหาแบบฮิวริสติกส์<br />4. ความพึงพอใจต่อการจัดการเรียนรู้โดยใช้การคิดแก้ปัญหาแบบฮิวริสติกส์ เรื่อง ระบบสมการเชิงเส้นสองตัวแปร ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 อยู่ในระดับมากที่สุด</p> 2024-06-04T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏบ้านสมเด็จเจ้าพระยา https://so17.tci-thaijo.org/index.php/EduBSRU/article/view/213 การออกแบบกิจกรรมการเรียนรู้ตามหลักการศึกษา แบบมุ่งเน้นผลลัพธ์การเรียนรู้(OBE) 2024-05-07T13:08:16+07:00 สุธน วงค์แดง apopost2550@gmail.com <p>การศึกษาแบบมุ่งเน้นผลลัพธ์การเรียนรู้ (OBE) เป็นการศึกษาที่เน้นการออกแบบกระบวนการการจัดการเรียนรู้เพื่อการเปลี่ยนแปลงผู้เรียนทั้งด้านความรู้ ความสามารถ และคุณลักษณะตามเป้าหมายที่กำหนดไว้ มีความยืดหยุ่นทั้งการจัดการเรียนรู้ การจัดตารางเวลาเรียน การกำหนดเป้าหมายการเรียนรู้ การวัดและประเมินผล หลักสำคัญของการจัดการศึกษาแบบมุ่งเน้นผลลัพธ์การเรียนรู้ คือ การกำหนดผลลัพธ์การเรียนรู้ และผู้เรียนทุกคนต้องประสบความสำเร็จ การออกแบบกิจกรรมการเรียนรู้แบบมุ่งเน้นผลลัพธ์การเรียนรู้ เป็นกระบวนการจัดการเรียนรู้ที่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ มีผลลัพธ์การเรียนรู้เป็นเป้าหมาย วิธีการจัดการเรียนรู้ การประเมินสมรรถนะและคุณลักษณะด้วยวิธีการที่หลากหลายและต่อเนื่อง ซึ่งมีกระบวนการ 3 ขั้นตอน คือ การกำหนดผลลัพธ์การเรียนรู้ การออกแบบการจัดการเรียนรู้ การวัดและประเมินผลแบบมุ่งเน้นผลลัพธ์การเรียนรู้ ผลการออกแบบกิจกรรมการเรียนรู้แบบมุ่งเน้นผลลัพธ์การเรียนรู้ พบว่า ผู้สอนมีการวางแผนร่วมกันออกแบบผลลัพธ์การเรียนรู้ การจัดเวลาเรียนการจัดการเรียนรู้ การประเมินผลการเรียนรู้ที่ชัดเจนสอดคล้องกับเป้าหมายของหลักสูตร มีการจัดสรรทรัพยากรและทักษะที่จำเป็นสำหรับการเรียนรู้วิชาใดวิชาหนึ่ง ผู้เรียนมีเป้าหมายและเส้นทางสู่ความสำเร็จในการเรียนที่ชัดเจน ผู้เรียนได้รับโอกาสที่ประสบความสำเร็จโดยใช้แนวทางที่ทันสมัย และมีโอกาสสร้างความรู้และทักษะที่ใช้ได้จริงโดยใช้แนวทางที่เหมาะสมกับตนเอง บทความวิชาการนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อนำเสนอแนวคิด ความสำคัญ กรอบการศึกษาแบบมุ่งเน้นผลลัพธ์การเรียนรู้ กระบวนการจัดทำหลักสูตรแบบมุ่งเน้นผลลัพธ์การเรียนรู้ การออกแบบกิจกรรมการเรียนรู้แบบมุ่งเน้นผลลัพธ์การเรียนรู้ การวัดและประเมินผลแบบมุ่งเน้นผลลัพธ์การเรียนรู้ กรณีตัวอย่างการจัดการเรียนรู้แบบมุ่งเน้นผลลัพธ์การเรียนรู้สู่ห้องเรียน และความท้าทายของการจัดการเรียนรู้แบบมุ่งเน้นผลลัพธ์การเรียนรู้</p> 2024-06-05T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏบ้านสมเด็จเจ้าพระยา