วารสารพัฒนาการเรียนรู้และองค์กร (JLOD) https://so17.tci-thaijo.org/index.php/JLOD <p><strong>วารสารพัฒนาการเรียนรู้และองค์กร (</strong><strong>Journal of Learning and Organizational Development: JLOD)</strong></p> <p><strong>ISSN XXXX-XXXX (Online)</strong></p> <p>จัดทำโดยคณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปัตตานี เป็นวารสารราย 6 เดือน เผยแพร่แบบออนไลน์ ปีละ 2 ฉบับ (ฉบับที่ 1 เดือนมกราคม - มิถุนายน และ ฉบับที่ 2 เดือนกรกฎาคม - ธันวาคม) มีวัตถุประสงค์เพื่อเป็นการสนับสนุนคณาจารย์ นักศึกษา ข้าราชการ นักวิชาการ และนักวิจัยทั่วไป ทั้งภายในและภายนอกสถาบัน ในการนำเสนอผลงานวิชาการ โดยมีขอบเขต ดังนี้ 1) การวิจัยในชั้นเรียน 2) การวิจัยจากงานประจำ (R2R) 3) การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์และองค์กร 4) การพัฒนาคู่มือการปฏิบัติงานหรือนวัตกรรมการทำงาน และ 5) อื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนางาน </p> <p>ผลงานทางวิชาการที่รับพิจารณาตีพิมพ์ ได้แก่ บทความวิชาการ และบทความวิจัย ซึ่งต้องเป็นต้นฉบับที่ไม่เคยตีพิมพ์เผยแพร่ในวารสารใดมาก่อน และไม่อยู่ในระหว่างการพิจารณาของวารสารอื่น <strong>บทความทุกเรื่องที่ได้รับการตีพิมพ์ต้องได้รับความเห็นชอบจากกองบรรณาธิการ และผ่านการประเมินคุณภาพ (</strong><strong>Peer reviewed) จากผู้ทรงคุณวุฒิ (Reviewer) ในสาขาวิชาที่เกี่ยวข้อง อย่างน้อย 2 ท่าน</strong> โดยการประเมินเป็นแบบปกปิดรายชื่อทั้งผู้ประเมินและผู้นิพนธ์ (Double - blind peer review)</p> <p><strong>*หมายเหตุ:</strong> <em>ไม่มีค่าใช้จ่ายในการตีพิมพ์</em></p> คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ th-TH วารสารพัฒนาการเรียนรู้และองค์กร (JLOD) การประเมินความต้องการจำเป็นเพื่อพัฒนาการจัดการเรียนการสอนของนักศึกษาบัณฑิตศึกษา คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ https://so17.tci-thaijo.org/index.php/JLOD/article/view/791 <p>การศึกษาครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อประเมินและจัดลำดับความต้องการจำเป็นในการพัฒนาการจัดการเรียนการสอนของนักศึกษาบัณฑิตศึกษา คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ กลุ่มตัวอย่างนักศึกษาระดับบัณฑิต คณะศึกษาศาสตร์ ปีการศึกษา 2566 จำนวน 117 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยเป็นแบบสอบถามชนิดแบบตอบสนองคู่ วิเคราะห์ข้อมูล โดยใช้สถิติเชิงบรรยาย ได้แก่ ความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และใช้เทคนิค Modifiied Priority Needs Index (PNImodified) ในการจัดลำดับของความต้องการจำเป็น ผลการวิจัยพบว่า โดยภาพรวม มีค่าดัชนี PNImodified เท่ากับ 0.21 (มากกว่า 0.20) ถือว่ามีความต้องการจำเป็นเร่งด่วนที่จะต้องได้รับการพัฒนา และเพื่อพิจารณาเป็นรายด้าน โดยเรียงลำดับความต้องการจำเป็น ได้แก่ ด้านสิ่งสนับสนุนการเรียนรู้ (PNImodified = 0.21) ด้านสิ่งอำนวยความสะดวก (PNImodified = 0.20) และด้านหลักสูตรและเนื้อหารายวิชา กับด้านการพัฒนานักศึกษา (PNImodified = 0.15) ตามลำดับ ดังกล่าวถือว่าเป็นความต้องการจำเป็นเร่งด่วน</p> Thitaya Patthiyaprasert ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารพัฒนาการเรียนรู้และองค์กร (JLOD) https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-12-24 2025-12-24 1 2 ผลการจัดการเรียนรู้โดยใช้เว็บไซต์ statskingdom.com ต่อผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน และความพึงพอใจของนิสิตวิศวกรรมศาสตร์ในบทเรียนเรื่อง การวิเคราะห์การถดถอยเชิงเส้นตรงอย่างง่ายและสหสัมพันธ์ https://so17.tci-thaijo.org/index.php/JLOD/article/view/1155 <p>การวิจัยในครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) เปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนรายวิชาสถิติสำหรับวิศวกรรมศาสตร์ เรื่อง การวิเคราะห์การถดถอยเชิงเส้นตรงอย่างง่ายและสหสัมพันธ์ของนิสิต ก่อนและหลังที่ได้รับการจัดการเรียนรู้โดยการนำเว็บไซต์การวิเคราะห์ข้อมูลสถิติออนไลน์มาใช้ในการจัดการเรียนการสอน 2) เปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนกับเกณฑ์ร้อยละ 60 และ 3) ศึกษาความพึงพอใจในการเรียนของนิสิตหลังที่ได้รับการจัดการเรียนรู้โดยการนำเว็บไซต์การวิเคราะห์ข้อมูลสถิติออนไลน์มาใช้ในการจัดการเรียนการสอน การศึกษาครั้งนี้เป็นการศึกษาในประชากรเป้าหมาย คือ นิสิตสาขาวิศวกรรมเครื่องกล คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาทักษิณ ที่ลงทะเบียนเรียนรายวิชาสถิติสำหรับวิศกรรมปีการศึกษา 2567 รวมจำนวน 42 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ แผนการจัดการเรียนรู้จำนวน 9 ชั่วโมง แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนก่อนและหลังเรียนจำนวน 2 ฉบับที่มีลักษณะคู่ขนานกัน และแบบประเมินความพึงพอใจ ผลการศึกษาพบว่า คะแนนผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนิสิตหลังเรียน (<img id="output" src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\mu=19.8,\sigma=8.84" alt="equation" />) สูงกว่าก่อนเรียน (<img id="output" src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\mu=2.8,\sigma=1.83" alt="equation" />) โดยคะแนนเฉลี่ยเพิ่มขึ้นมากกว่าร้อยละ 50 และมีคะแนนผ่านเกณฑ์ร้อยละ 60 จำนวน 25 คน คิดเป็นร้อยละ 59.5 ผลการประเมินความพึงพอใจของนิสิตหลังจากได้รับการจัดการเรียนรู้รายวิชาสถิติสำหรับวิศวกรรม เรื่องการวิเคราะห์การถดถอยเชิงเส้นตรงอย่างง่าย และสหสัมพันธ์ โดยใช้เว็บไซต์การวิเคราะห์ข้อมูลสถิติออนไลน์ในภาพรวมอยู่ในระดับมากที่สุด (<img id="output" src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\mu=4.6,\sigma=0.50" alt="equation" /> )</p> <p> </p> อรสา นุ่นแก้ว ปรีดาภรณ์ กาญจนสำราญวงศ์ จันทวรรณ น้อยศรี ศิวพร แซ่วัน ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารพัฒนาการเรียนรู้และองค์กร (JLOD) https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-12-24 2025-12-24 1 2 ผลการจัดการเรียนรู้ภาษาอังกฤษตามแนวคิดการสอนภาษาเพื่อการสื่อสาร โดยบูรณาการภูมิปัญญาท้องถิ่นที่มีต่อความภาคภูมิใจในภูมิปัญญาท้องถิ่นของผู้เรียนระดับมัธยมศึกษา https://so17.tci-thaijo.org/index.php/JLOD/article/view/1224 <p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อเปรียบเทียบระดับความภาคภูมิใจในภูมิปัญญาท้องถิ่นของผู้เรียน (กลุ่มทดลอง) ก่อนและหลังได้รับการจัดการเรียนรู้ตามแนวคิดการสอนภาษาเพื่อการสื่อสารโดยบูรณาการเนื้อหาภูมิปัญญาท้องถิ่น และ 2) เพื่อเปรียบเทียบระดับความภาคภูมิใจในภูมิปัญญาท้องถิ่นหลังเรียนของผู้เรียนกลุ่มทดลองกับผู้เรียนกลุ่มควบคุมซึ่งได้รับการจัดการเรียนรู้แบบปกติ โดยเป็นการวิจัยแบบผสานวิธีขั้นสูง ประกอบด้วย 2 ระยะ ได้แก่ การศึกษาเชิงปริมาณโดยใช้การวิจัยกึ่งทดลอง และการศึกษาเชิงคุณภาพโดยใช้การวิจัยแบบแผนขั้นตอนเชิงอธิบาย กลุ่มตัวอย่างได้มาจากการสุ่มแบบหลายขั้นตอน จำนวน 68 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ แผนการจัดการเรียนรู้ตามแนวคิดการสอนภาษาเพื่อการสื่อสารโดยบูรณาการเนื้อหาภูมิปัญญาท้องถิ่น แผนการจัดการเรียนรู้แบบปกติ แบบวัดระดับความภาคภูมิใจในภูมิปัญญาท้องถิ่น และแบบบันทึกการสนทนากลุ่ม สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลเชิงปริมาณ ได้แก่ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการทดสอบค่าที ส่วนข้อมูลเชิงคุณภาพวิเคราะห์โดยใช้การวิเคราะห์ข้อมูลแบบสร้างข้อสรุป ผลการวิจัยเชิงปริมาณพบว่า ระดับความภาคภูมิใจในภูมิปัญญาท้องถิ่นของผู้เรียนกลุ่มทดลองหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน และสูงกว่าผู้เรียนกลุ่มควบคุมอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 ผลการวิจัยเชิงคุณภาพสะท้อนให้เห็นว่า ผู้เรียนเกิดความตระหนักรู้ในคุณค่าและความสำคัญของภูมิปัญญาท้องถิ่นของชุมชนตนเอง มีความรู้สึกภาคภูมิใจ กล้าแสดงออก และมีความสนใจที่จะอนุรักษ์และสืบสานภูมิปัญญาท้องถิ่นผ่านการใช้ภาษาอังกฤษในการสื่อสาร สอดคล้องกับผลการวิจัยเชิงปริมาณที่แสดงให้เห็นว่าการบูรณาการภูมิปัญญาท้องถิ่นในการจัดการเรียนรู้ภาษาอังกฤษสามารถส่งเสริมความภาคภูมิใจในภูมิปัญญาท้องถิ่นของผู้เรียนได้อย่างมีประสิทธิภาพ</p> สหรัฐ ลักษณะสุต ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารพัฒนาการเรียนรู้และองค์กร (JLOD) https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-12-24 2025-12-24 1 2 การพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาสังคมศึกษา สาระเศรษฐศาสตร์ โดยใช้เทคนิคการเรียนรู้ร่วมกัน (Learning Together) ตามกระบวนการจัดการเรียนรู้แบบ GPAS 5 Steps และการเรียนรู้แบบเดินชมแลกเปลี่ยนเรียนรู้ (Gallery Walk) นักเรียนโรงเรียนท่านครญาณวโรภาสอุทิศ สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษานครศรีธรรมราช https://so17.tci-thaijo.org/index.php/JLOD/article/view/1225 <p> การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ (1) พัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาสังคมศึกษา (2) ศึกษาทักษะการเรียนรู้ของนักเรียน และ (3) ศึกษาความคิดเห็นของนักเรียน โดยวัตถุประสงค์ทั้ง 3 ประการนี้ ใช้เทคนิคการเรียนรู้ร่วมกัน (Learning Together) ตามกระบวนการจัดการเรียนรู้แบบ GPAS 5 Steps และการเรียนรู้แบบเดินชมแลกเปลี่ยนเรียนรู้ (Gallery Walk) ในการจัดการเรียนรู้ การวิจัยใช้วิธีวิจัยแบบผสม คือ ระเบียบวิธีวิจัยเชิงปริมาณและเชิงคุณภาพ ประชากรและกลุ่มตัวอย่างเป็นนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5/1 ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2567 โรงเรียนท่านครญาณวโรภาสอุทิศ จำนวน 33 คน เป็นการเลือกประชากรที่ไม่เป็นไปตามโอกาสทางสถิติ (Non-Probability Sampling) แบบเจาะจง (Purposive sampling)</p> <p> ผลการวิจัย พบว่า 1) การจัดการเรียนรู้วิชาสังคมศึกษา สาระเศรษฐศาสตร์ เรื่อง ภาวะเงินเฟ้อ โดยใช้เทคนิคดังกล่าว คะแนนเฉลี่ยหลังเรียน () เท่ากับ 8 คะแนน (คะแนนเต็ม 10 คะแนน) ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.) เท่ากับ 0.61 2) นักเรียนมีการแบ่งงานกันรับผิดชอบ ค้นคว้าข้อมูล ทำให้งานเสร็จตามเวลาที่กำหนด ร่วมกันอภิปรายและขยายความรู้ มีการยกตัวอย่างประกอบ และมีส่วนร่วมในการการประเมินผลชิ้นงานตามเกณฑ์ที่กำหนดร่วมกันระหว่างนักเรียนและครูผู้สอน และ 3) นักเรียนมีความคิดเห็นว่า การจัดการเรียนรู้โดยใช้เทคนิคดังกล่าว ทำให้เกิดกระบวนการมีส่วนร่วม โดยผ่านการลงมือปฏิบัติการค้นคว้าหาความรู้ด้วยตนเองและแลกเปลี่ยนความรู้ระหว่างกัน เกิดองค์ความรู้ที่ถาวร กล้าแสดงออกทางความคิด ตามฐานคิดและภูมิรู้ของตนเอง และรับฟังความคิดเห็นจากเพื่อนนักเรียนด้วยกัน ทำให้มีความสุขในการเรียน</p> ชัยณรงค์ จะรา ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารพัฒนาการเรียนรู้และองค์กร (JLOD) https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-12-24 2025-12-24 1 2 การพัฒนาชุดกิจกรรมเพื่อส่งเสริมการคิดเชิงวิพากษ์ ตามแนวทางการจัดการเรียนรู้ GPAS 5 Steps เรื่อง สมบัติของสารอินทรีย์ ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 https://so17.tci-thaijo.org/index.php/JLOD/article/view/1226 <p>งานวิจัยนี้มุ่งพัฒนาชุดกิจกรรมเพื่อส่งเสริมการคิดเชิงวิพากษ์ ตามแนวทางการจัดการเรียนรู้ GPAS 5 Steps เรื่อง สมบัติของสารอินทรีย์ ให้มีประสิทธิภาพตามเกณฑ์ E<sub>1</sub>/E<sub>2</sub> เท่ากับร้อยละ 80/80 เปรียบเทียบความสามารถในการคิดเชิงวิพากษ์ของนักเรียนหลังจัดการเรียนรู้กับเกณฑ์ร้อยละ 80 และศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อการเรียนโดยใช้ชุดกิจกรรม กลุ่มตัวอย่าง คือ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 จำนวน 72 คน ซึ่งกำลังศึกษาอยู่ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2567 โรงเรียนวิทยาศาสตร์จุฬาภรณราชวิทยาลัย มุกดาหาร เครื่องมือที่ใช้วิจัย ได้แก่ (1) ชุดกิจกรรมที่ส่งเสริมการคิดเชิงวิพากษ์ ตามแนวทางการจัดการเรียนรู้ GPAS 5 Steps เรื่อง สมบัติของสารอินทรีย์ จำนวน 6 ชุด รวม 18 ชั่วโมง (2) แบบวัดการคิดเชิงวิพากษ์ ซึ่งมีลักษณะเป็นโจทย์กำหนดสถานการณ์ แล้วตอบคำถามแบบปรนัย 4 ตัวเลือก จำนวน 30 ข้อ (3) แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่อง สมบัติของสารอินทรีย์ จำนวน 40 ข้อ (4) แบบสอบถามความพึงพอใจ ซึ่งเป็นมาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดับ วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้ค่าเฉลี่ยเลขคณิต ร้อยละ ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และวิเคราะห์ข้อมูลเทียบเกณฑ์ โดยใช้สถิติ One – Sample t – test ผลการวิจัยพบว่า ชุดกิจกรรมที่พัฒนาขึ้นมีประสิทธิภาพตามเกณฑ์ที่กำหนด (E<sub>1</sub>/E<sub>2</sub> = 90.52/86.18) ความสามารถในการคิดเชิงวิพากษ์ของนักเรียนหลังจัดกิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้ชุดกิจกรรมสูงกว่าเกณฑ์ร้อยละ 80 (88.87%) อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p &lt; .05) ความสามารถในการคิดเชิงวิพากษ์ของนักเรียนแยกรายองค์ประกอบสูงกว่าเกณฑ์ร้อยละ 80 ทุกองค์ประกอบ อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p &lt; .05) และนักเรียนมีความพึงพอใจต่อการเรียนโดยใช้ชุดกิจกรรมในระดับมากที่สุด (<img id="output" src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\bar{X}" alt="equation" /> = 4.86)</p> ธนพัฒน์ ทับไธสง ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารพัฒนาการเรียนรู้และองค์กร (JLOD) https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-12-24 2025-12-24 1 2