วารสารนวัตกรรมการบริหารรัฐกิจและท้องถิ่น มหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์ https://so17.tci-thaijo.org/index.php/JPALI_BRU <p>วารสารนวัตกรรมการบริหารรัฐกิจและท้องถิ่น มหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์ เป็นวารสารที่ส่งเสริมและสนับสนุนให้คณาจารย์ นักวิชาการ นิสิต นักศึกษา และผู้สนใจทั่วไปได้เผยแพร่ผลงานทางวิชาการและผลงานวิจัยทางด้านรัฐศาสตร์ รัฐประศาสนศาสตร์ การบริหาร การจัดการ การบริหารท้องถิ่น และสหวิทยาการด้านมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ ตลอดจนบทวิเคราะห์ สังเคราะห์และเสนอทางออกในการแก้ปัญหาให้แก่สังคม โดยมีรูปแบบการตีพิมพ์ในรูปแบบอิเล็กทรอนิกส์ ตั้งแต่ปีที่ 1 ฉบับที่ 1 พ.ศ. 2566 โดยมีกำหนดเผยแพร่วารสารฉบับปกติ (Regular Issues) ปีละ 2 ฉบับ คือ ฉบับที่ 1 (มกราคม – มิถุนายน) และฉบับที่ 2 (กรกฎาคม – ธันวาคม) </p> th-TH sathaporn.wc@bru.ac.th (ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.สถาพร วิชัยรัมย์) sakon.pt@bru.ac.th (อาจารย์ ดร.สากล พรหมสถิตย์) Tue, 30 Dec 2025 14:12:49 +0700 OJS 3.3.0.8 http://blogs.law.harvard.edu/tech/rss 60 การมีส่วนร่วมของประชาชนในการจัดการขยะมูลฝอย ตำบลชุมเห็ด อำเภอเมือง จังหวัดบุรีรัมย์ https://so17.tci-thaijo.org/index.php/JPALI_BRU/article/view/1277 <p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาระดับการมีส่วนร่วมของประชาชนในการจัดการขยะมูลฝอย ตำบลชุมเห็ด อำเภอเมือง จังหวัดบุรีรัมย์ 2) เป็นการวิจัยเชิงปริมาณโดยใช้กรอบแนวคิดการมีส่วนร่วมของประชาชนในการจัดการขยะมูลฝอย กลุ่มตัวอย่าง คือประชาชนในเขตตำบลชุมเห็ด จำนวน 393 คน ได้จากการคำนวณตามสูตรของ Yamane เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย คือ แบบสอบถามมาตราส่วนประมาณค่า (Rating Scaie) การวิเคราะห์ข้อมูลใช้สถิติพื้นฐานได้แก่ ความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย และเบี่ยงเบนมาตรฐาน</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า 1) การมีส่วนร่วมของประชาชนในการจัดการขยะมูลฝอย ตำบลชุมเห็ด อำเภอเมือง จังหวัดบุรีรัมย์ โดยภาพรวมอยู่ในระดับปานกลาง โดยมีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 3.40 (<img src="https://latex.codecogs.com/gif.latex?%5Cbar%7BX%7D" alt="gif.latex?\bar{X}" />= 3.40, S.D.=0.305) และ2) ข้อเสนอแนะระบบการจัดการขยะและแนวทางการเพิ่มประสิทธิภาพการจัดเก็บขยะมูลฝอย ตำบลชุมเห็ด อำเภอเมือง จังหวัดบุรีรัมย์ โดยเสนอแนะไว้ว่า ควรมีรถเก็บขยะขับในชุมชนเวลาเช้าของทุกวัน เพื่อให้มีการจัดการขยะที่ครอบคลุม และต้องมีระบบประสานงานที่มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ส่งเสริมการมีส่วนร่วมของประชาชนจัดกิจกรรมให้ความรู้และรณรงค์เรื่องการคัดแยะขยะตั้งแต่ต้นทางจัดตั้งจุดรับขยะรีไซเคิลในชุมชนเพื่อลดปริมาณขยะที่จะต้องเก็บ เพื่อให้เกิดผลที่ดีที่สุด</p> นนธวัช ศิริชัย, สมชาย บึงบัว, เอกราช ดีรบรัมย์ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารนวัตกรรมการบริหารรัฐกิจและท้องถิ่น มหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์ https://so17.tci-thaijo.org/index.php/JPALI_BRU/article/view/1277 Tue, 30 Dec 2025 00:00:00 +0700 การศึกษาการลงทุนและรายได้ของกลุ่มเกษตรกร ตำบลโนนกลาง อำเภอสำโรง จังหวัดอุบลราชธานี https://so17.tci-thaijo.org/index.php/JPALI_BRU/article/view/1279 <p><strong> </strong>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ เพื่อศึกษาปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อการศึกษาการลงทุนและรายได้ของกลุ่มเกษตรกร ในเขตพื้นที่ ตำบลโนนกลาง อำเภอสำโรง จังหวัดอุบลราชธานี โดยมีกลุ่มตัวอย่าง 362 คน ใช้แบบสอบถามเป็นเครื่องมือในการรวบรวมข้อมูล โดยใช้วิธีการสุ่มกลุ่มตัวอย่าง โดยใช้สูตรของผู้วิจัยใช้วิธีการคิดคำนวณจากสูตรของ Yamana (1970) ที่ระดับความเชื่อมั่น 95% และกำหนดความคลาดเคลื่อนที่ยอมรับได้ 0.05 หรับสถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล คือ ค่าความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน และทดสอบสมมุติฐาน ทดสอบความสัมพันธ์ โดยใช้สถิติค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์แบบ Pearson’s Correlation Coefficient และทดสอบสัมประสิทธิ์การถดถอยพหุคูณด้วยสถิติ Multiple Regression Analysis</p> <p> ผลการวิจัยพบว่าด้านสุขภาพกายและสุขภาพจิต(<img src="https://latex.codecogs.com/gif.latex?%5Cbar%7BX%7D" alt="gif.latex?\bar{X}" />=4.12)อยู่ในระดับมาก รองลงมาด้านการบริหาร (<img src="https://latex.codecogs.com/gif.latex?%5Cbar%7BX%7D" alt="gif.latex?\bar{X}" />=4.05) ด้านประสิทธิภาพการทำงาน (<img src="https://latex.codecogs.com/gif.latex?%5Cbar%7BX%7D" alt="gif.latex?\bar{X}" />=3.92) ด้านมีความมั่นคงและยั่งยืนในอาชีพ (<img src="https://latex.codecogs.com/gif.latex?%5Cbar%7BX%7D" alt="gif.latex?\bar{X}" />=3.91) ด้านสภาวะเศรษฐกิจ (<img src="https://latex.codecogs.com/gif.latex?%5Cbar%7BX%7D" alt="gif.latex?\bar{X}" />=3.90) ด้านการเงิน (<img src="https://latex.codecogs.com/gif.latex?%5Cbar%7BX%7D" alt="gif.latex?\bar{X}" />=3.86) ด้านรายได้ที่เพียงพอต่อการดำรงชีวิต (<img src="https://latex.codecogs.com/gif.latex?%5Cbar%7BX%7D" alt="gif.latex?\bar{X}" />=3.83) ด้านเสริมสร้างความแข็งแรงของเกษตรกรในชุมชน (<img src="https://latex.codecogs.com/gif.latex?%5Cbar%7BX%7D" alt="gif.latex?\bar{X}" />=3.78) ด้านการแข่งขัน (<img src="https://latex.codecogs.com/gif.latex?%5Cbar%7BX%7D" alt="gif.latex?\bar{X}" />=3.76) เมื่อทำการวิเคราะห์ข้อมูลโดยวิธีการถดถอยพหุคูณเพื่อทำนายอิทธิพลของปัจจัยทั้ง 4 ด้าน พบว่าด้านการแข่งขัน (β =.324) ด้านประสิทธิภาพการทำงาน (β =.289) ด้านสภาวะเศรษฐกิจ (β =.149) และด้านการบริหาร (β =.110) มีอิทธิพลต่อการลงทุนและรายได้ของกลุ่มเกษตรกร ตำบลโนนกลาง อำเภอสำโรง จังหวัดอุบลราชธานีอย่างน้อยมีนัยยะสำคัญทางสถิติที่ 0.5</p> <p> ผลการศึกษาวิจัยเชิงปริมาณพบว่ากลุ่มเกษตรในตำบลโนนกลาง อำเภอสำโรง จังหวัดอุบลราชธานี ยังขาดการบริหารจัดการด้านรายได้ ด้านการแข่งขัน และด้านเสริมสร้างความแข็งแรงของเกษตรกรในชุมชน ด้วยเศรษฐกิจในปัจจุบันที่ทำให้ค่าครองชีพเพิ่มสูงขึ้นกลุ่มเกษตรกรจึงประสบปัญหาต้นทุนสูง และยังขาดความรู้ในเรื่องการทำเกษตรกรรมไม่ค่อยมีหน่วยงานเข้ามาให้ความรู้ในด้านนี้</p> กัญญาภัค บุญพามา, กุลธิดา บุญเสนอ, นิพาดา แสงสิงห์, อารยา ศรีสุข, ปรารถนา มะลิไทย, ประเสริฐ บัวจันอัฐ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารนวัตกรรมการบริหารรัฐกิจและท้องถิ่น มหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์ https://so17.tci-thaijo.org/index.php/JPALI_BRU/article/view/1279 Tue, 30 Dec 2025 00:00:00 +0700 การใช้เทคโนโลยีดิจิทัลบริหารภาครัฐ ขององค์การบริหารส่วนตำบลบ้านไทร อำเภอประโคนชัย จังหวัดบุรีรัมย์ https://so17.tci-thaijo.org/index.php/JPALI_BRU/article/view/1287 <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาประสิทธิภาพในการนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาใช้ในการบริหารภาครัฐ ตำบลบ้านไทร อำเภอประโคนชัย จังหวัดบุรีรัมย์ 2) เพื่อศึกษาปัญหา อุปสรรค ในการใช้เทคโนโลยีดิจิทัลในการบริหารภาครัฐ ตำบลบ้านไทร อำเภอประโคนชัย จังหวัดบุรีรัมย์ กลุ่มประชากรตัวอย่างได้แก่ ประชากรในเขตตำบลบ้านไทร อำเภอประโคนชัย จังหวัดบุรีรัมย์ จำนวน 6,634 คน เป็นการวิจัยเชิงประมาณ ใช้แนวคิดการใช้เทคโนโลยีดิจิทัลบริหารภาครัฐ ตำบลบ้านไทร อำเภอประโคนชัย จังหวัดบุรีรัมย์ โดยการสุ่มกลุ่มตัวอย่างจำนวน 378 คน ใช้วิธีการคัดเลือกแบบสุ่มตัวอย่างมีสัดส่วน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย คือแบบสอบถาม วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้ สถิติพื้นฐาน ได้แก่ความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ยและส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า การใช้เทคโนโลยีดิจิทัลบริหารภาครัฐ ตำบลบ้านไทร อำเภอประโคนชัย จังหวัดบุรีรัมย์ โดยภาพรวมอยู่ในระดับมาก โดยมีค่าเฉลี่ย 4.17 (<img src="https://latex.codecogs.com/gif.latex?%5Cbar%7BX%7D" alt="gif.latex?\bar{X}" />=4.17, S.D.=0.466) 2) เพื่อศึกษา ปัญหา อุปสรรค ในการใช้เทคโนโลยีดิจิทัลในการบริหารภาครัฐ ตำบลบ้านไทร อำเภอประโคนชัย จังหวัดบุรีรัมย์ โดยเสนอแนะไว้ จำนวน 4 ด้าน ดังนี้ เพื่อศึกษาและสำรวจผลกระทบจากการใช้งานสื่อดิจิทัลต่อการตัดสินใจในชีวิตประจำวันเพื่อให้เกิดประสิทธิภาพควรมีการประชุมเกี่ยวกับผลกระทบของการใช้เทคโนโลยีในระยะยาวและหาข้อเสนอแนะที่ดีที่สุดในการพัฒนาการใช้เทคโนโลยีควรมีการประเมินพัฒนาเทคโนโลยีดิจิทัลที่สามารถตอบสนองความต้องการของประชาชนได้อย่างแม่นยำและครอบคลุมทุกกลุ่ม โดยเฉพาะการทำให้ผู้สูงอายุและกลุ่มคนที่ไม่คุ้นเคยกับเทคโนโลยีสามารถเข้าถึงบริการของภาครัฐได้มีการพัฒนาอยู่เสมอเพื่อช่วยให้ภาครัฐสามารถเปลี่ยนแปลงและปรับตัวได้อย่างราบรื่นโดยเฉพาะในด้านการฝึกอบรมบุคลากรให้พร้อมรับกับการใช้งานเทคโนโลยีใหม่ๆ</p> มายศ เการัมย์, ธันยพร วงค์ษา, พีรยา ถาบุญเลิศ, วลัยพรรณ โสปัญหริ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารนวัตกรรมการบริหารรัฐกิจและท้องถิ่น มหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์ https://so17.tci-thaijo.org/index.php/JPALI_BRU/article/view/1287 Tue, 30 Dec 2025 00:00:00 +0700 การบริหารจัดการที่นำไปสู่ความสำเร็จในการทอผ้าไหม บ้านอุ่มแสง ตำบลดู่ อำเภอราษีไศล จังหวัดศรีสะเกษ https://so17.tci-thaijo.org/index.php/JPALI_BRU/article/view/1388 <p> การศึกษาเรื่องการบริหารจัดการที่นำไปสู่ความสำเร็จในการทอผ้าไหม บ้านอุ่มแสง ตำบลดู่ อำเภอราษีไศล จังหวัดศรีสะเกษ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาการบริหารจัดการที่มุ่งสู่ความสำเร็จของกลุ่มอาชีพทอผ้าไหม บ้านอุ่มแสง ตำบลดู่ อำเภอราษีไศล จังหวัดศรีสะเกษ และเพื่อศึกษาปัญหาในการบริหารจัดการกลุ่มทอผ้าไหม บ้านอุ่มแสง ตำบลดู่ อำเภอราษีไศล จังหวัดศรีสะเกษ ซึ่งประกอบไปด้วยลักษณะข้อมูลตามลำดับได้แก่ ตอนที่ 1 ข้อมูลทั่วไปของผู้ตอบแบบสัมภาษณ์ ตอนที่ 2 ข้อมูลเกี่ยวกับการบริหารงานของกลุ่มทอผ้าไหม บ้านอุ่มแสง ตำบลดู่ อำเภอราษีไศล จังหวัดศรีสะเกษ และ ตอนที่ 3 ข้อมูลเกี่ยวกับปัญหาในการบริหารงานของกลุ่มทอผ้าไหม บ้านอุ่มแสง ตำบลดู่ อำเภอราษีไศล จังหวัดศรีสะเกษ การศึกษานี้เป็นการวิจัยเชิงคุณภาพ ผู้ให้ข้อมูลสำคัญตามวัตถุประสงค์ ถูกคัดเลือกมาแบบเฉพาะเจาะจง โดยผู้วิจัยได้เลือกกลุ่มตัวอย่างโดยคำนึงถึงคุณสมบัติที่ผู้วิจัยต้องการศึกษา มีลักษณะความรอบรู้ ความชำนาญและประสบการณ์ ได้แก่ ประธานกลุ่ม 1 คน และสมาชิกในกลุ่ม จำนวน 4 คน รวบรวมข้อมูลโดยการสัมภาษณ์แบบเจาะลึก ข้อมูลจากวัตถุประสงค์ทั้งสองประการวิเคราะห์ด้วยวิธีการจำแนกประเภทข้อมูล</p> <p> ผลการวิจัยพบว่า กลุ่มทอผ้าไหม บ้านอุ่มแสง ตำบลดู่ อำเภอราษีไศล จังหวัดศรีสะเกษ สามารถบริหารจัดการองค์กรในรูปแบบของวิสาหกิจชุมชนได้อย่างมีประสิทธิภาพผ่านกระบวนการบริหาร 8 ด้าน ได้แก่ การวางแผน การประสานงาน การควบคุม ผลิตภัณฑ์ ราคา ด้านอาชีพ ด้านรายได้ และด้านการตลาด ซึ่งทางกลุ่มควรส่งเสริมให้สมาชิกในกลุ่มมีบทบาทในการจำหน่ายสินค้าโดยตรงมากขึ้น แทนที่จะเป็นหน้าที่ของประธานหรือคณะกรรมการเพียงกลุ่มเดียว ทั้งนี้เพื่อพัฒนาทักษะ ความรู้ และประสบการณ์ด้านการตลาดให้แก่สมาชิก และสร้างความสามารถในการทดแทนกันได้เมื่อมีการออกร้านจำหน่ายสินค้าตามงานแสดงต่าง ๆ</p> กัลย์สุดา แสงแก้ว, สุจินดา สืบสุด, สุภาพร สุวรรณา, อัญชนา ธนะบูรณ, อลงกต แผนสนิท, ปรารถนา มะลิไทย ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารนวัตกรรมการบริหารรัฐกิจและท้องถิ่น มหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์ https://so17.tci-thaijo.org/index.php/JPALI_BRU/article/view/1388 Tue, 30 Dec 2025 00:00:00 +0700 ประสิทธิผลการให้บริการประชาชนขององค์การบริหารส่วนตำบลมะเฟือง อำเภอพุทไธสง จังหวัดบุรีรัมย์ https://so17.tci-thaijo.org/index.php/JPALI_BRU/article/view/1402 <p><strong> </strong>งานวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1.) ศึกษาระดับประสิทธิผลการให้บริการประชาชน ขององค์การบริหารส่วนตำบลมะเฟือง อำเภอพุทไธสง จังหวัดบุรีรัมย์ 2.) เปรียบเทียบความคิดเห็นของประชาชนที่มีต่อผู้ให้บริการขององค์การบริหารส่วนตำบลมะเฟือง อำเภอพุทไธสง จังหวัดบุรีรัมย์ จำแนกตามเพศ อายุ การศึกษา อาชีพ 3.) ศึกษาแนวทางในการปรับปรุง แก้ไข พัฒนาประสิทธิภาพเจ้าหน้าที่ผู้ให้บริการประชาชนขององค์การบริหารส่วนตำบลมะเฟือง อำเภอพุทไธสง จังหวัดบุรีรัมย์ โดยกำหนดขนาดกลุ่มตัวอย่างจากประชาชนผู้มีสิทธิเลือกตั้งในเขตองค์องค์การบริหารส่วนตำบลมะเฟือง อำเภอพุทไธสง จังหวัดบุรีรัมย์ ตามตารางของเครจซี่และมอร์แกน ได้ขนาดกลุ่มตัวอย่างในการวิจัย จำนวน 346 คน เครื่องเมือที่ใช้เป็นแบบสอบถามได้ค่าความเชื่อมั่นเท่ากับ 0.9960 แล้ววิเคราะห์ด้วยการแจกแจงความถี่ หาค่าร้อยละ และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า</p> <p> ประสิทธิผลการให้บริการประชาชนขององค์การบริหารส่วนตำบลมะเฟือง อำเภอพุทไธสง จังหวัดบุรีรัมย์ โดยภาพรวมอยู่ในระดับมากที่สุด (<img src="https://latex.codecogs.com/gif.latex?%5Cbar%7BX%7D" alt="gif.latex?\bar{X}" />=4.55, S.D.=0.630) เมื่อพิจารณาเป็นรายด้านพบว่าทุกด้านอยู่ในระดับมากที่สุด โดยเรียงลำดับจากค่าเฉลี่ยสูงไปหาต่ำได้ดังนี้ ด้านความมีไมตรีจิต (<img src="https://latex.codecogs.com/gif.latex?%5Cbar%7BX%7D" alt="gif.latex?\bar{X}" />=4.56, S.D.=0.617) ด้านสมรรถนะ (<img src="https://latex.codecogs.com/gif.latex?%5Cbar%7BX%7D" alt="gif.latex?\bar{X}" />=4.55, S.D.=0.638) และความไว้วางใจ (<img src="https://latex.codecogs.com/gif.latex?%5Cbar%7BX%7D" alt="gif.latex?\bar{X}" />=4.55, S.D.=0.617) ด้านความกระตือรือร้น (<img src="https://latex.codecogs.com/gif.latex?%5Cbar%7BX%7D" alt="gif.latex?\bar{X}" />=4.54, S.D.=0.638) และลักษณะของการบริการ (<img src="https://latex.codecogs.com/gif.latex?%5Cbar%7BX%7D" alt="gif.latex?\bar{X}" />=4.54, S.D.=0.639) ตามลำดับ</p> <p>ผลการเปรียบเทียบความคิดเห็นของประชาชนเกี่ยวกับประสิทธิผลการให้บริการประชาชนขององค์การบริหารส่วนตำบลมะเฟือง อำเภอพุทไธสง จังหวัดบุรีรัมย์ จำแนกตาม เพศ อายุ ระดับการศึกษา และรายได้ โดยภาพรวมไม่แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.5</p> <p> </p> ณัฐฐาปนินทร์ เพียรแก้ว, ฐิติมา สายศรี, น้ำรินทร์ สมบูรณ์, ปณิดา ศรีคำเวียง; อลิชา วาสุที ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารนวัตกรรมการบริหารรัฐกิจและท้องถิ่น มหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์ https://so17.tci-thaijo.org/index.php/JPALI_BRU/article/view/1402 Tue, 30 Dec 2025 00:00:00 +0700 ประสิทธิผลของเทศบาลห้วยราชในการจัดการเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ https://so17.tci-thaijo.org/index.php/JPALI_BRU/article/view/1406 <p> การวิจัยครั้งนี้มีจุดประสงค์ 1) เพื่อศึกษาระดับประสิทธิผลของเทศบาลตำบลห้วยราชในการจัดการเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุของเทศบาลตำบลห้วยราช 2) เพื่อศึกษาข้อเสนอแนะในการจัดการเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุเทศบาลตำบลห้วยราช จังหวัดบุรีรัมย์ จำแนกตามรายด้าน ซึ่งมีทั้งหมด 4 ด้าน คือ ด้านสิ่งอำนวยความสะดวก ด้านช่องทางการให้บริการ ด้านกระบวนการทำงาน ด้านเจ้าหน้าที่ผู้ให้บริการ ขนาดของกลุ่มตัวอย่างโดยใช้วิธีกำหนดกลุ่มตัวอย่างตามตารางของ Krejcie and Morgan กลุ่มตัวอย่างจำนวน 286 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ เป็นแบบสอบถามโดยแบบสอบถามที่ประกอบด้วย 3 ลักษณะ คือ คำถามแบบตรวจสอบรายการ แบบมาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดับและแบบปลายเปิด มีค่าความเชื่อมั่นเท่ากับ 0.809 สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ยและส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน</p> <p> ผลการวิจัย พบว่าการศึกษาประสิทธิผลของเทศบาลตำบลห้วยราชในการจัดการเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุในภาพรวมอยู่ในระดับมาก (<img src="https://latex.codecogs.com/gif.latex?%5Cbar%7BX%7D" alt="gif.latex?\bar{X}" />=4.07, S.D. = 0.49) เมื่อพิจารณาเป็นรายด้าน พบว่า ทุกด้านอยู่ในระดับมาก โดยเรียงจากด้านที่มีค่ามากไปหาน้อย คือ ด้านช่องทางการให้บริการ (<img src="https://latex.codecogs.com/gif.latex?%5Cbar%7BX%7D" alt="gif.latex?\bar{X}" />=4.08, S.D. = 0.57) ด้านเจ้าหน้าที่ผู้ให้บริการ (<img src="https://latex.codecogs.com/gif.latex?%5Cbar%7BX%7D" alt="gif.latex?\bar{X}" />=4.08, S.D. = 0.55) ด้านสิ่งอำนวยความสะดวก (<img src="https://latex.codecogs.com/gif.latex?%5Cbar%7BX%7D" alt="gif.latex?\bar{X}" />=4.06 , S.D. = 0.53) และด้านกระบวนการทำงาน (<img src="https://latex.codecogs.com/gif.latex?%5Cbar%7BX%7D" alt="gif.latex?\bar{X}" />=4.05, S.D. = 0.58) ตามลำดับ ส่วนความคิดเห็นและข้อเสนอแนะ อื่น ๆ ของผู้สูงอายุที่มีต่อการจัดการเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุของเทศบาลตำบลห้วยราช ที่มีจำนวนมากที่สุดคือ คือ ควรมีระบบบัตรคิว, ควรมีบริการเครื่องถ่ายเอกสาร, ควรมีเจ้าหน้าที่ปฏิบัติงานช่วงเที่ยงเพื่อรองรับและอำนวยความสะดวกให้กับผู้ใช้บริการอย่างเต็มที่ ตามลำดับ</p> ชนัญชิตา ห่อไธสง; ปราณี อารีรัมย์, พนารัตน์ พาชัย, ธัญญรัตน์ พุฑฒิพงษ์ชัยชาญ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารนวัตกรรมการบริหารรัฐกิจและท้องถิ่น มหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์ https://so17.tci-thaijo.org/index.php/JPALI_BRU/article/view/1406 Tue, 30 Dec 2025 00:00:00 +0700 ระบบราชการในรัฐเงา : การบริหารที่มองไม่เห็นภายใต้เงื่อนไขเชิงอำนาจ https://so17.tci-thaijo.org/index.php/JPALI_BRU/article/view/1639 <p>&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp; บทความวิชาการนี้วิเคราะห์บทบาทของระบบราชการไทยในบริบทของ “รัฐเงา” (Shadow State) ซึ่งหมายถึงโครงสร้างอำนาจที่แฝงอยู่ภายใต้ระบบทางการ โดยมิได้ปรากฏอย่างชัดเจนในรัฐธรรมนูญหรือกฎหมาย แต่มีอิทธิพลอย่างยิ่งต่อการกำหนดทิศทางนโยบายและการบริหารราชการแผ่นดิน การศึกษานี้ตั้งอยู่บนแนวคิดรัฐประศาสนศาสตร์เชิงวิพากษ์ โดยมุ่งเปิดเผยกลไกอำนาจที่ถูกทำให้มองไม่เห็น เช่น การสร้างความชอบธรรมผ่านวาทกรรมราชการ การใช้พิธีกรรม ภาษา และโครงสร้างที่ซับซ้อนเพื่อรักษาภาพลักษณ์ความเป็นกลาง ทั้งนี้ยังได้วิเคราะห์ความสัมพันธ์ระหว่างระบบราชการกับโครงสร้างอำนาจอื่น อาทิ กองทัพ ศาล องค์กรอิสระ และกลุ่มทุน โดยชี้ให้เห็นว่าสถาบันราชการมิได้ดำรงอยู่ลำพัง แต่เป็นส่วนหนึ่งของเครือข่ายอำนาจที่มีบทบาทกำหนดระเบียบทางสังคมโดยไม่ผ่านกลไกประชาธิปไตยอย่างแท้จริง บทความสรุปว่าการทำความเข้าใจระบบราชการในฐานะ "รัฐเงา" เป็นกุญแจสำคัญในการตั้งคำถามต่อความชอบธรรมของอำนาจ และเป็นจุดเริ่มต้นในการออกแบบการบริหารภาครัฐให้มีความโปร่งใสและตรวจสอบได้มากยิ่งขึ้น เพื่อให้สอดคล้องกับหลักธรรมาภิบาลในระบอบประชาธิปไตย</p> สมปอง สุวรรณภูมา; กมัยธร มงคลกุล ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารนวัตกรรมการบริหารรัฐกิจและท้องถิ่น มหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์ https://so17.tci-thaijo.org/index.php/JPALI_BRU/article/view/1639 Tue, 30 Dec 2025 00:00:00 +0700 นวัตกรรมวิถีเชิงวัฒนธรรมกับการบริหารระบบเศรษฐกิจชุมชน ในยุคเศรษฐกิจดิจิทัล https://so17.tci-thaijo.org/index.php/JPALI_BRU/article/view/1087 <p>บทความเรื่องนี้ มุ่งศึกษานวัตกรรมวิถีเชิงวัฒนธรรมที่เกี่ยวข้องกับการบริหารเศรษฐกิจชุมชนท้องถิ่นในยุคเศรษฐกิจดิจิทัล โดยศึกษาจากแนวคิดทฤษฎีต่าง ๆ พบว่า การสถาปนาพื้นที่ชุมชนให้กลายเป็นศูนย์กลางของการพัฒนานวัตกรรมวิถีเชิงวัฒนธรรมได้อย่างยั่งยืนนั้น ส่งผลโดยตรงต่อการบริหารระบบเศรษฐกิจชุมชนในยุคปกติวิถีใหม่และสอดรับเข้ากับระบบเศรษฐกิจดิจิทัลได้อย่างลงตัว โดยเฉพาะอย่างยิ่ง พื้นที่ชุมชนที่มีลักษณะเป็นสังคมพหุลักษณ์ย่อมมีความได้เปรียบและมีความจำเป็นต้องให้ความสำคัญกับการยอมรับความหลากหลายของผู้คนภายในท้องถิ่นควบคู่กันไปด้วย กล่าวคือ พื้นที่ชุมชนใดที่มีลักษณะเป็นสังคมพหุวัฒนธรรมย่อมมีความได้เปรียบเชิงกายภาพก่อให้เกิดชุมชนแห่งวิถีวัฒนธรรมที่มีชีวิต ส่งผลโดยตรงต่อการพัฒนาชุมชนร่วมกันได้อย่างยั่งยืน เพราะชุมชนดังกล่าวย่อมมีต้นทุนทางวัฒนธรรมที่มีความหลากหลายมากกว่าชุมชนแห่งอื่น ๆ ทำให้เกิดการรวมกลุ่มเป็นเครือข่ายความร่วมมือในลักษณะชุมชนสัมพันธ์ ซึ่งมีการแลกเปลี่ยนองค์ความรู้และภูมิปัญญาท้องถิ่นระหว่างกันอย่างเด่นชัด แต่ทว่าก็ยังคงต้องให้ความสำคัญกับการนำเทคโนโลยีสารสนเทศสมัยใหม่เข้ามาปรับปประยุกต์ใช้ให้เกิดประสิทธิภาพเพิ่มมากขึ้น จึงจะทำให้ระบบเศรษฐกิจชุมชนแบบดั้งเดิมเกิดการพัฒนาทุนทางวัฒนธรรมที่มีอยู่ภายในท้องถิ่นได้อย่างเหมาะสมและเกิดการปรับเปลี่ยนวิถีชีวิตเชิงวัฒนธรรมได้อย่างเข้มแข็งและยั่งยืน</p> สมศักดิ์ ศรีสันติสุข, ยุทธศาสตร์ หน่อแก้ว ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารนวัตกรรมการบริหารรัฐกิจและท้องถิ่น มหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์ https://so17.tci-thaijo.org/index.php/JPALI_BRU/article/view/1087 Tue, 30 Dec 2025 00:00:00 +0700