https://so17.tci-thaijo.org/index.php/JRIS/issue/feed
วารสารวิจัยและนวัตกรรมเพื่อความยั่งยืน (JRIS)
2025-12-15T10:46:11+07:00
Asst Prof. Witsanu Suttiwan
jrisilid@gmail.com
Open Journal Systems
<p>วารสารวิจัยและนวัตกรรมเพื่อความยั่งยืน (Journal of Research and Innovation for Sustainability; JRIS) มีวัตถุประสงค์ เพื่อเผยแพร่บทความวิจัย (Research article) บทความปริทัศน์ (Review article) บทความวิชาการ (Academic article) และบทวิจารณ์หนังสือ (Book Review) แก่นักวิจัย นักวิชาการ ครู คณาจารย์ และนักศึกษา ในสาขามนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ ได้แก่ การศึกษา รัฐศาสตร์ รัฐประศาสนศาสตร์ วัฒนธรรมศาสตร์ ภาษาศาสตร์ การพัฒนาชุมชน จิตวิทยาทั่วไปและการแนะแนว รวมถึงสหวิชาการอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง</p>
https://so17.tci-thaijo.org/index.php/JRIS/article/view/859
การพัฒนาสื่อการเรียนรู้มัลติมีเดียแบบลงมือปฏิบัติเพื่อส่งเสริมทักษะในการใช้เทคโนโลยี เรื่อง การตัดต่อวิดีโอ โดยใช้โปรแกรม Wondershare Filmora สำหรับนักเรียน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 โรงเรียนสตรีชัยภูมิ
2025-03-18T21:56:50+07:00
ยศพัทธ์ ยอดไธสง
641503122@cpru.ac.th
ศิรภัสสร์ อินทรพาณิชย์
Sirapat.in@cpru.ac.th
รัตนากร ลิ้มอำนวยลาภ
kruple21@gmail.com
<p> บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ (1) เพื่อพัฒนาสื่อการเรียนรู้ ให้มีประสิทธิภาพตามเกณฑ์ 80/80 (2) เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน และ (3) เพื่อศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อการเรียนด้วยสื่อการเรียนรู้มัลติมีเดียแบบลงมือปฏิบัติเรื่อง การตัดต่อวิดีโอ โดยใช้โปรแกรม Wondershare Filmora สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 ประชากรที่ใช้ในการวิจัยคือ กลุ่มประชากรที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ คือ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 โรงเรียนสตรีชัยภูมิ จำนวน 482 คนกลุ่มตัวอย่าง คือ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6/12 โรงเรียนสตรีชัยภูมิ จำนวน 32 คน ที่ได้จากการสุ่มอย่างง่าย ใช้วิธีการจับฉลาก เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยประกอบด้วย <em><br /></em>(1) สื่อการเรียนรู้มัลติมีเดีย เรื่อง การตัดต่อวิดีโอ โดยใช้โปรแกรม Wondershare Filmora สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 โรงเรียนสตรีชัยภูมิ (2) แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ <em><br /></em>แบบเลือกตอบชนิด 4 ตัวเลือก จำนวน 40 ข้อ และ (3) แบบสอบถามความพึงพอใจของนักเรียน จำนวน <em>20</em> ข้อ มีค่าความเชื่อมั่นเท่ากับ 0.98 สถิติที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน การหาประสิทธิภาพตามเกณฑ์ E1/E2 และการทดสอบค่าที (t-test แบบ Dependent Sample)</p> <p>จากผลการวิจัยพบว่า</p> <ol> <li>การเรียนรู้ด้วยสื่อมัลติมีเดียแบบลงมือปฏิบัติ เรื่อง การตัดต่อวิดีโอ โดยใช้โปรแกรม Wondershare Filmora สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 มีประสิทธิภาพตามเกณฑ์มาตรฐาน 80/80 โดยมีค่าประสิทธิภาพเท่ากับ 88.52/88.05</li> <li>นักเรียนที่เรียนด้วยสื่อมัลติมีเดียแบบลงมือปฏิบัติ เรื่อง การตัดต่อวิดีโอ โดยใช้โปรแกรม Wondershare Filmora สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 มีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05</li> <li>นักเรียนที่เรียนด้วยสื่อมัลติมีเดียแบบลงมือปฏิบัติ เรื่อง การตัดต่อวิดีโอ โดยใช้โปรแกรม Wondershare Filmora สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 มีความพึงพอใจต่อการเรียนในภาพรวมอยู่ในระดับมากที่สุด (<em>M</em> = 4.84, <em>SD</em> = 0.42)</li> </ol>
2025-12-15T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิจัยและนวัตกรรมเพื่อความยั่งยืน (JRIS)
https://so17.tci-thaijo.org/index.php/JRIS/article/view/887
การพัฒนาการเรียนรู้โดยใช้ไมโครคอนโทรลเลอร์ Arduino การต่อบอร์ดจำลองร่วมกับ การจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือด้วยเทคนิค (STAD) สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียนกาญจนาภิเษกวิทยาลัย ชัยภูมิ อำเภอเมือง จังหวัดชัยภูมิ
2025-03-25T17:29:29+07:00
เทพอักษร กันธินาม
thepaksorn05@gmail.com
บวรวิช รอดรังษี
bawonwit@cpru.ac.th
อมรรัตน์ ทองจันทร์
Thongchan.A@gmail.com
<p> การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ (1) พัฒนาแผนการเรียนรู้โดยใช้ไมโครคอนโทรลเลอร์ Arduino ร่วมกับการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือด้วยเทคนิค (STAD) ให้มีประสิทธิภาพตามเกณฑ์ 80/80 (2) เปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนก่อนและหลังเรียน และ (3) ศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อกิจกรรมการเรียนรู้ กลุ่มตัวอย่างคือ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียนกาญจนาภิเษกวิทยาลัย ชัยภูมิ จำนวน 20 คน ซึ่งได้มาจากการสุ่มแบบกลุ่ม (Cluster random sampling)</p> <p> การวิจัยใช้เครื่องมือ ได้แก่ แผนการเรียนรู้ แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน <br />และแบบสอบถามความพึงพอใจ วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการทดสอบ t-test ผลการวิจัยพบว่า แผนการเรียนรู้ที่พัฒนาขึ้นมีประสิทธิภาพเท่ากับ 82.13/81.00 ซึ่งสูงกว่าเกณฑ์มาตรฐาน 80/80 นอกจากนี้ ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนหลังเรียน (<em>M</em> = 24.30, <em>SD </em>= 3.73) สูงกว่าก่อนเรียน (<em>M</em> = 9.45, <em>SD</em>= 2.44) อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 ส่วนความพึงพอใจของนักเรียนต่อกิจกรรมการเรียนรู้โดยรวมอยู่ใน ระดับมาก (<em>M</em> = 4.46, <em>SD</em> = 0.75) โดยนักเรียนเห็นว่าการเรียนรู้แบบ (STAD) ช่วยให้บรรยากาศการเรียนดีขึ้น และการใช้ Arduino ช่วยพัฒนาทักษะการคิดวิเคราะห์</p> <p> ผลการวิจัยสรุปได้ว่า การจัดการเรียนรู้โดยใช้ไมโครคอนโทรลเลอร์ Arduino ร่วมกับเทคนิค (STAD) สามารถพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนและส่งเสริมการทำงานร่วมกันของนักเรียนได้เป็นอย่างดี</p>
2025-12-15T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิจัยและนวัตกรรมเพื่อความยั่งยืน (JRIS)
https://so17.tci-thaijo.org/index.php/JRIS/article/view/1422
ระดับความรู้จำเพาะเนื้อหาผนวกวิธีสอนและเทคโนโลยี (TPACK) ของครูวิทยาศาสตร์ ระดับประถมศึกษาตอนต้น บริบทของโครงการบ้านนักวิทยาศาสตร์น้อย ประเทศไทย สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาประจวบคีรีขันธ์ เขต 1
2025-11-03T14:44:30+07:00
จุมพลภัทร์ ไชยสัตย์
thirasuk.c@kkumail.com
<p>การศึกษาระดับความรู้จำเพาะเนื้อหาผนวกวิธีสอนและเทคโนโลยี (TPACK) ของครูวิทยาศาสตร์ ระดับประถมศึกษาตอนต้น บริบทของโครงการบ้านนักวิทยาศาสตร์น้อย ประเทศไทย สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาประจวบคีรีขันธ์ เขต 1 มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาระดับความรู้จำเพาะเนื้อหาผนวกวิธีสอนและเทคโนโลยี (TPACK) ของครูวิทยาศาสตร์ ระดับประถมศึกษาตอนต้น บริบทของโครงการบ้านนักวิทยาศาสตร์น้อย ประเทศไทย สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาประจวบคีรีขันธ์ เขต 1 กลุ่มเป้าหมายที่ศึกษาในครั้งนี้ได้มาโดยวิธีการเลือกแบบเจาะจง (Purposive Sampling) จากครูผู้สอนวิทยาศาสตร์ ระดับประถมศึกษาตอนต้น ในโครงการบ้านนักวิทยาศาสตร์น้อย ประเทศไทย สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาประจวบคีรีขันธ์ เขต 1 ปีการศึกษา 2568 จำนวน 83 โรงเรียน จำนวน 89 คน เครื่องมือที่ใช้ในการศึกษา คือ แบบสำรวจความรู้ของครูวิทยาศาสตร์เกี่ยวกับความรู้จำเพาะเนื้อหาผนวกวิธีสอนและเทคโนโลยี (TPACK) เป็นแบบประเมินตนเอง (Self-assessment) มีค่าความเชื่อมั่นทั้งฉบับเท่ากับ .95 การวิเคราะห์ข้อมูลใช้โปรแกรมสำเร็จรูป สถิติที่ใช้ได้แก่ ค่าเฉลี่ย (<em>M</em>) ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (<em>SD</em>) ผลการศึกษา พบว่า ระดับความรู้ของครูวิทยาศาสตร์เกี่ยวกับความรู้จำเพาะเนื้อหาผนวกวิธีสอนและเทคโนโลยี (TPACK) ในภาพรวมอยู่ในระดับสูง (<em>M</em>= 3.77, <em>SD</em> = 0.77) และเมื่อพิจารณาเป็นรายด้านพบว่า ด้านที่มีค่าเฉลี่ยมากที่สุด คือ ความรู้ด้านเนื้อหาผนวกวิธีสอน (PCK) อยู่ในระดับสูง (<em>M</em> 3.91, <em>SD</em> = 0.71) ด้านที่มีค่าเฉลี่ยรองลงมา คือ ความรู้ด้านวิธีสอน (PK) อยู่ในระดับมาก (M= 3.85, <em>SD</em>= 0.70) และด้านที่มีค่าเฉลี่ยน้อยที่สุด คือ ความรู้ด้านเนื้อหา (CK) ซึ่งอยู่ในระดับสูง (<em>M</em>= 3.57, <em>SD</em>= 0.83) สะท้อนให้เห็นข้อมูลเพื่อการพัฒนาครูในการเสริมสร้างความรู้ด้านเนื้อหา (CK) ให้เข้มแข็งยิ่งขึ้น และพัฒนาคุณภาพครูด้านเทคนิคการจัดการเรียนรู้วิทยาศาสตร์สำหรับนักเรียนระดับประถมศึกษาที่ส่งเสริมกระบวนการสืบเสาะ (Inquiry)และการบูรณาการองค์ความรู้ TPACK ได้อย่างสมดุลและมีประสิทธิภาพสูงสุด</p>
2025-12-15T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิจัยและนวัตกรรมเพื่อความยั่งยืน (JRIS)
https://so17.tci-thaijo.org/index.php/JRIS/article/view/1441
นวัตกรรมการจัดการเรียนรู้เคมีรอบบ้าน: การจัดการเรียนรู้โดยใช้บริบทเป็นฐานร่วมกับ การบูรณาการการใช้ปัญญาประดิษฐ์เพื่อพัฒนามโนทัศน์เคมีของนักศึกษาวิชาชีพครู
2025-11-03T14:46:36+07:00
สุระศักดิ์ เมาเทือก
surasak.ma@cmu.ac.th
<p> ความท้าทายสำคัญในการเรียนรู้เคมีในระดับการศึกษาขั้นพื้นฐาน จากความเป็นนามธรรมของเนื้อหา ทำให้เกิดความเข้าใจคลาดเคลื่อนทางมโนทัศน์ได้ นอกจากนี้ การสอนแบบเน้นท่องจำไม่สามารถทำให้ผู้เรียนเห็นความหมายของเคมีในชีวิตจริงได้อย่างแท้จริง จึงจำเป็นต้องพัฒนาการจัดการเรียนรู้เพื่อแก้ปัญหาดังกล่าว งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนามโนทัศน์เคมีของนักศึกษาวิชาชีพครูที่ได้รับการจัดการเรียนรู้ด้วยนวัตกรรมการจัดการเรียนรู้เคมีรอบบ้าน : การจัดการเรียนรู้โดยใช้บริบทเป็นฐานร่วมกับการบูรณาการการใช้ปัญญาประดิษฐ์ กลุ่มเป้าหมายได้แก่ นักศึกษาสาขาวิชาเคมี คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ที่ลงทะเบียนเรียนกระบวนวิชา 064232 มโนทัศน์เคมีในหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน 2 ภาคการศึกษาที่ 1/2567 จำนวน 21 คนเครื่องมือประกอบด้วย 1)นวัตกรรมการจัดการเรียนรู้เคมีรอบบ้าน มีทั้งหมด 13 กิจกรรม 3) แบบประเมินคุณภาพกิจกรรมของนวัตกรรมการจัดการเรียนรู้เคมีรอบบ้าน 4)แบบวัดมโนทัศน์เคมีในหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน 2 การวิเคราะห์ข้อมูลด้วย ความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงมาตรฐาน ผลการวิจัยพบว่า</p> <p> มโนทัศน์เคมีเรื่องสมบัติของแก๊ส การประยุกต์ใช้สมบัติของแก๊สในชีวิตประจำวันและอุตสาหกรรม และอัตราการเกิดปฏิกิริยาเคมีของนักศึกษา มีคะแนนเฉลี่ยอยู่ที่ 80.71 มีนักศึกษา จำนวน 42.86% ได้คะแนนอยู่ในช่วง 81.00-100.00 และ 38.10% ได้คะแนน 71.00-80.00 และมโนทัศน์เคมีเรื่องสมดุลเคมี สมบัติกรด-เบส และปฏิกิริยาของกรด-เบสของนักศึกษา พบว่าคะแนนเฉลี่ยอยู่ที่ 81.19 มีนักศึกษาจำนวน 42.86% ได้คะแนนอยู่ในช่วง 81.00-100.00 และ จำนวน 42.86% ได้คะแนน 71.00-80.00 </p>
2025-12-15T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิจัยและนวัตกรรมเพื่อความยั่งยืน (JRIS)
https://so17.tci-thaijo.org/index.php/JRIS/article/view/1514
รูปแบบการบริหารเชิงกลยุทธ์โดยใช้ชุมชนมีส่วนร่วมเพื่อพัฒนาทักษะอาชีพของนักเรียนโรงเรียนวัดหัวกระสังข์ (มะลิเสงี่ยมราษฎร์สามัคคี) สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาฉะเชิงเทรา เขต 2
2025-11-03T17:17:59+07:00
สุกัญญา เรืองเกษตร
sukanyagoy@hotmail.com
<p> เพื่อให้นักเรียนรู้จักอาชีพ มีทักษะพื้นฐานการปฏิบัติงานตามอาชีพและสร้างเจตคติที่ดีต่ออาชีพ รวมถึงสร้างเสริมนิสัยในการทำงาน การใช้เทคโนโลยี การรู้จักแก้ปัญหา การตัดสินใจ ความรับผิดชอบ การทำงานร่วมกัน มีระเบียบวินัยในการทำงาน ซึ่งเป็นคุณลักษณะที่จำเป็นของอาชีพต่างๆ การวิจัยเรื่องรูปแบบการบริหารเชิงกลยุทธ์โดยใช้ชุมชนมีส่วนร่วมเพื่อพัฒนาทักษะอาชีพของนักเรียนโรงเรียนวัดหัวกระสังข์ (มะลิเสงี่ยมราษฎร์สามัคคี) สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาฉะเชิงเทรา เขต 2 จึงมีวัตถุประสงค์ เพื่อศึกษาข้อมูลพื้นฐาน พัฒนารูปแบบการบริหารเชิงกลยุทธ์โดยใช้ชุมชนมีส่วนร่วม เพื่อศึกษาผลการใช้รูปแบบการบริหารเชิงกลยุทธ์โดยใช้ชุมชนมีส่วนร่วม และเพื่อประเมินรูปแบบการบริหารเชิงกลยุทธ์โดยใช้ชุมชน มีส่วนร่วมเพื่อพัฒนาทักษะอาชีพของนักเรียน ซึ่งผลจากการวิจัยพบว่า ผลการประเมินทักษะอาชีพของนักเรียนโรงเรียนวัดหัวกระสังข์ (มะลิเสงี่ยมราษฎร์สามัคคี) สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาฉะเชิงเทรา เขต 2 ในภาพรวมอยู่ในระดับมากที่สุด (<em>M</em> = 4.84, <br /><em>SD</em> = 0.36) ผลการประเมินรูปแบบการบริหารเชิงกลยุทธ์โดยใช้ ชุมชนมีส่วนร่วมเพื่อพัฒนาทักษะอาชีพของนักเรียนโรงเรียนวัดหัวกระสังข์ (มะลิเสงี่ยมราษฎร์สามัคคี) สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาฉะเชิงเทรา เขต 2 กลยุทธ์ที่ 6 สร้างโอกาสทางการศึกษา <br />และเสริมสร้างทักษะอาชีพ พบว่า ด้านความเหมาะสม ในภาพรวมอยู่ในระดับมากที่สุด <br />และด้านความเป็นประโยชน์ ในภาพรวมอยู่ในระดับมากที่สุด</p>
2025-12-15T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิจัยและนวัตกรรมเพื่อความยั่งยืน (JRIS)
https://so17.tci-thaijo.org/index.php/JRIS/article/view/1416
บทวิจารณ์หนังสือ: ร้อยลักษณ์สักวา ปริศนาคำทาย
2025-09-17T21:16:49+07:00
ทักษิณ แก้วประสริฐ
thucksin.kaew@vru.ac.th
<p> หนังสือ “ร้อยลักษณ์สักวา ปริศนาคำทาย” ของอาจารย์เผด็จ บุญหนุน ผู้เป็นแบบอย่างที่ทรงคุณค่าของบรรดาครูภาษาไทย โดยหนังสือเล่มนี้ นับเป็นสื่อทางการศึกษาที่ครอบคลุมการเรียนรู้ได้อย่างหลากหลาย เช่น การเรียนรู้ฉันทลักษณ์ของไทย การเรียนรู้คำศัพท์โบราณของไทย ตลอดจนการเรียนรู้สำนวนไทย นอกจากนี้ หนังสือเล่มนี้ มีบทบาทสำคัญในการสืบสานมรดกทางวัฒนธรรมไทย เนื่องจาก สาระสำคัญของหนังสือคือการนำเสนอปริศนาคำทายที่อาศัยกลวิธีทางภาษาเพื่อกระตุ้นให้ผู้อ่านใช้ความคิดวิเคราะห์อย่างเป็นระบบ คำตอบของปริศนาจะต้องเริ่มต้นด้วยพยางค์เดียวกัน ซึ่งมีลักษณะใกล้เคียงกับการละเล่นพื้นบ้านที่เรียกว่า “พะหมี” ฉะนั้น ความรู้และความสนุกที่ปรากฏผ่านกลไกลไขปริศนาคำทายแบบไทย (Thai style) ที่เป็นจุดเด่นของหนังสือ ผู้ที่ศึกษาหนังสือเล่มนี้จึงไม่จำกัดเฉพาะผู้เรียนในระดับใดระดับหนึ่ง หากแต่ทุกคนสามารถเข้าถึงได้ เพื่อพัฒนาทักษะกระบวนการคิดขั้นสูงและอนุรักษ์ความเป็นไทยให้สืบต่อไป</p>
2025-12-15T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิจัยและนวัตกรรมเพื่อความยั่งยืน (JRIS)
https://so17.tci-thaijo.org/index.php/JRIS/article/view/1397
การบริหารกิจกรรมเสริมหลักสูตร เพื่อเสริมสร้างสุขภาวะผู้เรียนเป็นสุข
2025-09-12T20:07:49+07:00
เบญจรัตน์ อุปนันท์
benjarat@sa.ac.th
เศรษฐพงษ์ เลิศปรีชา
settapong@sa.ac.th
ประภาศรี เลิศปรีชา
prapasri@sa.ac.th
<p>บทความวิชาการเรื่องนี้มุ่งนำเสนอเกี่ยวกับการบริหารกิจกรรมเสริมหลักสูตร เพื่อเสริมสร้างสุขภาวะผู้เรียนเป็นสุข อันเป็นกิจกรรมที่สำคัญในการพัฒนาผู้เรียนอย่างรอบด้าน ทั้งกาย จิตใจ สังคม และสติปัญญา เพื่อให้ผู้เรียนสามารถดำรงชีวิตได้อย่างมีคุณภาพ และเป็นพลเมืองที่มีคุณค่าในสังคมโดยผู้เขียนได้ศึกษาแนวคิดและทฤษฎีที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนากิจกรรมเสริมหลักสูตร และแนวคิดเกี่ยวกับสุขภาวะนักเรียนเป็นสุข โดยผู้เขียนได้ข้อค้นพบและข้อเสนอแนะในการบริหารกิจกรรมเสริมหลักสูตร เพื่อเสริมสร้างสุขภาวะผู้เรียนเป็นสุข ดังนี้ ปัจจัยเอื้อต่อความสำเร็จ ประกอบด้วย 1) สภาพแวดล้อมในโรงเรียน 2) ภาวะผู้นำของผู้บริหารสถานศึกษา 3) ระบบนิเทศ ติดตามอย่างเป็นระบบ 4) การมีส่วนร่วม และดำเนินการอย่างต่อเนื่อง การเสริมสร้างสุขภาวะนักเรียนเป็นสุขผ่านกิจกรรมเสริมหลักสูตร ประกอบด้วย 1) กิจกรรมเสริมสร้างและพัฒนาสุขภาพกาย นันทนาการ 2) กิจกรรมพัฒนาศีลธรรม จริยธรรม 3) กิจกรรมเสริมสร้างทักษะชีวิต และทักษะวิชาการ 4) กิจกรรมจิตสาธารณะ อนุรักษ์ทรัพยากร และสิ่งแวดล้อม ด้วยมีการดำเนินกิจกรรม ดังนี้ 1) การกำหนดวัตถุประสงค์และการกำหนดเป้าหมาย 2) การจัดให้เหมาะสมกับผู้เรียน 3) การปลูกฝังและส่งเสริมค่านิยมที่ดี 4) การยึดหลักการมีส่วนร่วม 5) การประเมินผลการปฏิบัติกิจกรรม</p>
2025-12-15T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิจัยและนวัตกรรมเพื่อความยั่งยืน (JRIS)
https://so17.tci-thaijo.org/index.php/JRIS/article/view/1418
อนาคตภาพภาวะผู้นำทางวิชาการของผู้บริหารโรงเรียนกวดวิชา
2025-10-15T21:16:44+07:00
กรกฤช ศรีวิชัย
kting15@hotmail.com
<p>โรงเรียนกวดวิชาเป็นการจัดการศึกษานอกระบบเพื่อเสริมความรู้ให้กับผู้เรียนแต่จากสถานการณ์ของโลกที่เปลี่ยนแปลงในทุกมิติและมีแนวโน้มที่คาดการณ์ไม่ได้ในอนาคตได้ส่งผลให้โรงเรียนกวดวิชาซึ่งมีความโดดเด่นในด้านการจัดการศึกษามีจำนวนลดลง ดังนั้นผู้บริหารโรงเรียนกวดวิชาต้องมีความสามารถในการปรับเปลี่ยนแนวคิดเพื่อพัฒนาตนเองและองค์กรในการรักษามาตรฐานทางการศึกษาและรักษาความอยู่รอดของธุรกิจทางการศึกษา บทความวิชาการนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อนำเสนอเกี่ยวกับอนาคตภาพภาวะผู้นำทางวิชาการของผู้บริหารโรงเรียนกวดวิชา 6 ลักษณะ คือ 1) การมีวิสัยทัศน์และการเป็นผู้นำในด้านวิชาการ 2) การพัฒนาหลักสูตรและการจัดการเรียนการสอน 3) การเสริมสร้างบรรยากาศการเรียนรู้ทางวิชาการ 4) การสนับสนุนและพัฒนาครูและบุคลากร 5) การนิเทศ กำกับ ติดตามและประเมินผลการจัดการเรียนการสอน และ 6) การใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรมทางการศึกษาในการจัดการเรียนรู้</p>
2025-12-15T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิจัยและนวัตกรรมเพื่อความยั่งยืน (JRIS)