วารสารวิจัยและนวัตกรรมเพื่อความยั่งยืน (JRIS)
https://so17.tci-thaijo.org/index.php/JRIS
<p>วารสารวิจัยและนวัตกรรมเพื่อความยั่งยืน (Journal of Research and Innovation for Sustainability; JRIS) มีวัตถุประสงค์ เพื่อเผยแพร่บทความวิจัย (Research article) บทความปริทัศน์ (Review article) บทความวิชาการ (Academic article) และบทวิจารณ์หนังสือ (Book Review) แก่นักวิจัย นักวิชาการ ครู คณาจารย์ และนักศึกษา ในสาขามนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ ได้แก่ การศึกษา รัฐศาสตร์ รัฐประศาสนศาสตร์ วัฒนธรรมศาสตร์ ภาษาศาสตร์ การพัฒนาชุมชน จิตวิทยาทั่วไปและการแนะแนว รวมถึงสหวิชาการอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง</p>
ศูนย์นวัตกรรมการเรียนรู้สร้างสรรค์
th-TH
วารสารวิจัยและนวัตกรรมเพื่อความยั่งยืน (JRIS)
<p><strong>การอนุญาตลิขสิทธิ์</strong></p> <p> การอนุญาตให้ใช้ข้อความ เนื้อหา รูปภาพ หรือสิ่งอื่นใดของสิ่งพิมพ์ ผู้ใช้รายใดมีความต้องการที่จะอ่าน ดาวน์โหลด คัดลอก แจกจ่าย พิมพ์ ค้นหา หรือเชื่อมโยงไปยังข้อความทั้งหมดของบทความ รวบรวมข้อมูลสำหรับการจัดทำดัชนี ส่งต่อเป็นข้อมูลไปยังซอฟต์แวร์ หรือใช้เพื่อวัตถุประสงค์ทางกฎหมายอื่นใดเป็นสิ่งที่สามารถกระทำได้ แต่ห้ามนำไปใช้ในเชิงพาณิชย์หรือมีเจตนาเอื้อประโยชน์ทางธุรกิจ บทความทุกฉบับที่ถูกเผยแพร่ในวารสารวิจัยและนวัตกรรมเพื่อความยั่งยืนจะเผยแพร่ภายใต้สัญญาอนุญาตครีเอทีฟคอมมอนส์แบบแสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า (Creative Commons Attribution-NonCommercial-NoDerivatives 4.0 International License: <a href="https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0/">https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0/</a>)</p>
-
การพัฒนากิจกรรมการเรียนการสอนวิชาระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์โดยใช้รูปแบบ การเรียนรู้ตามแนวคิดทฤษฎีคอนสตรัคติวิสต์เพื่อส่งเสริมทักษะการเรียนรู้ร่วมกันของนักศึกษาระดับปริญญาตรี
https://so17.tci-thaijo.org/index.php/JRIS/article/view/850
<p> บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) พัฒนากิจกรรมการเรียนการสอนวิชาระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์โดยใช้รูปแบบการเรียนรู้ตามแนวคิดทฤษฎีคอนสตรัคติวิสต์ เพื่อส่งเสริมทักษะการเรียนรู้ร่วมกันของนักศึกษาระดับปริญญาตรี และ 2) ศึกษาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักศึกษาหลังได้รับกิจกรรมการเรียนการสอนที่พัฒนาแล้ว กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ ได้แก่ นักศึกษาชั้นปีที่ 2 สาขาวิชาคอมพิวเตอร์ศึกษา คณะครุศาสตร์และการพัฒนามนุษย์ มหาวิทยาลัยราชภัฏชัยภูมิ ปีการศึกษา 2567 ที่เรียนในรายวิชาระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์ ภาคเรียนที่ 1/2567 จำนวน 60 คน ได้จากการสุ่มแบบกลุ่ม (Cluster random sampling) จำนวน 2 ห้องเรียน ห้องละ 30 คน</p> <p> เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ บทเรียนบนเครือข่ายอินเทอร์เน็ตในหัวข้อระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์ แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนจำนวน 25 ข้อ และแบบประเมินคุณภาพบทเรียน ซึ่งมีค่าความเที่ยงตรงเชิงเนื้อหา (IOC) อยู่ระหว่าง 0.80–1.00 ค่าความยากง่ายระหว่าง 0.29–0.79 ค่าอำนาจจำแนกระหว่าง 0.25–0.58 และค่าความเชื่อมั่นเท่ากับ 0.91 สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และ t-test แบบ Independent Samples</p> <p> ผลการวิจัยพบว่า 1) บทเรียนบนเครือข่ายอินเทอร์เน็ตตามแนวทฤษฎีคอนสตรัคติวิสต์ มีคุณภาพในระดับดีมาก โดยมีค่าเฉลี่ยด้านเนื้อหา (<em>M</em> = 4.71, <em>SD </em>= 0.38) และค่าเฉลี่ย<br />ด้านเทคนิคการผลิตสื่อ (<em>M</em> = 4.61, <em>SD</em> = 0.45) และมีประสิทธิภาพ E<sub>1</sub>:E<sub>2</sub> เท่ากับ 80.83:81.67 ซึ่งอยู่ในเกณฑ์ที่กำหนด 2) กลุ่มนักศึกษาที่เรียนด้วยบทเรียนบนเครือข่ายอินเทอร์เน็ตมีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนสูงกว่ากลุ่มที่เรียนด้วยวิธีปกติอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 (กลุ่มที่ใช้บทเรียน <em>M</em> = 20.04 เทียบกับกลุ่มที่เรียนแบบปกติ <em>M </em>= 18.17)</p>
ทักษิณา นพคุณวงศ์
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิจัยและนวัตกรรมเพื่อความยั่งยืน (JRIS)
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-08-31
2025-08-31
2 4
1
17
-
การสังเคราะห์และยืนยันองค์ประกอบและตัวบ่งชี้สมรรถนะทางนวัตกรรมของครู โรงเรียนสวนหม่อน สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษานครราชสีมา เขต 1
https://so17.tci-thaijo.org/index.php/JRIS/article/view/1004
<p> บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) พัฒนากิจกรรมการเรียนการสอนวิชาระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์โดยใช้รูปแบบการเรียนรู้ตามแนวคิดทฤษฎีคอนสตรัคติวิสต์ เพื่อส่งเสริมทักษะการเรียนรู้ร่วมกันของนักศึกษาระดับปริญญาตรี และ 2) ศึกษาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักศึกษาหลังได้รับกิจกรรมการเรียนการสอนที่พัฒนาแล้ว กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ ได้แก่ นักศึกษาชั้นปีที่ 2 สาขาวิชาคอมพิวเตอร์ศึกษา คณะครุศาสตร์และการพัฒนามนุษย์ มหาวิทยาลัยราชภัฏชัยภูมิ ปีการศึกษา 2567 ที่เรียนในรายวิชาระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์ ภาคเรียนที่ 1/2567 จำนวน 60 คน ได้จากการสุ่มแบบกลุ่ม (Cluster random sampling) จำนวน 2 ห้องเรียน ห้องละ 30 คน</p> <p> เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ บทเรียนบนเครือข่ายอินเทอร์เน็ตในหัวข้อระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์ แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนจำนวน 25 ข้อ และแบบประเมินคุณภาพบทเรียน ซึ่งมีค่าความเที่ยงตรงเชิงเนื้อหา (IOC) อยู่ระหว่าง 0.80–1.00 ค่าความยากง่ายระหว่าง 0.29–0.79 ค่าอำนาจจำแนกระหว่าง 0.25–0.58 และค่าความเชื่อมั่นเท่ากับ 0.91 สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และ t-test แบบ Independent Samples</p> <p> ผลการวิจัยพบว่า 1) บทเรียนบนเครือข่ายอินเทอร์เน็ตตามแนวทฤษฎีคอนสตรัคติวิสต์ มีคุณภาพในระดับดีมาก โดยมีค่าเฉลี่ยด้านเนื้อหา (<em>M</em> = 4.71, <em>SD </em>= 0.38) และค่าเฉลี่ย<br />ด้านเทคนิคการผลิตสื่อ (<em>M</em> = 4.61, <em>SD</em> = 0.45) และมีประสิทธิภาพ E<sub>1</sub>:E<sub>2</sub> เท่ากับ 80.83:81.67 ซึ่งอยู่ในเกณฑ์ที่กำหนด 2) กลุ่มนักศึกษาที่เรียนด้วยบทเรียนบนเครือข่ายอินเทอร์เน็ตมีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนสูงกว่ากลุ่มที่เรียนด้วยวิธีปกติอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 (กลุ่มที่ใช้บทเรียน <em>M</em> = 20.04 เทียบกับกลุ่มที่เรียนแบบปกติ <em>M </em>= 18.17)</p>
อรรฆพล เกษะโกศล
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิจัยและนวัตกรรมเพื่อความยั่งยืน (JRIS)
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-08-31
2025-08-31
2 4
18
40
-
การพัฒนาสื่อมัลติมีเดียการเรียนรู้ด้วยตนเองแบบปรับเหมาะโดยใช้เทคนิค Adaptive Learning เรื่องการใช้เทคโนโลยีอย่างปลอดภัย สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 โรงเรียนบ้านเดื่อดอนกลาง(ประชาสงเคราะห์)
https://so17.tci-thaijo.org/index.php/JRIS/article/view/838
<p>การพัฒนาสื่อมัลติมีเดียการเรียนรู้ด้วยตนเองแบบปรับเหมาะโดยใช้เทคนิค Adaptive Learning เรื่องการใช้เทคโนโลยีอย่างปลอดภัย สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 โรงเรียนบ้านเดื่อดอนกลาง (ประชาสงเคราะห์) การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อพัฒนาสื่อมัลติมีเดียการเรียนรู้ด้วยตนเองแบบปรับเหมาะโดยใช้เทคนิค Adaptive learning เรื่องการใช้เทคโนโลยีอย่างปลอดภัย สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 โรงเรียนบ้านเดื่อดอนกลาง(ประชาสงเคราะห์) ให้มีประสิทธิภาพตามเกณฑ์ 80/80 2) เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนก่อนเรียนและหลังเรียนของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ที่เรียนด้วยสื่อมัลติมีเดียการเรียนรู้ด้วยตนเองแบบปรับเหมาะ 3) เพื่อศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ที่มีต่อการเรียนด้วยสื่อมัลติมีเดียการเรียนรู้ด้วยตนเองแบบปรับเหมาะ กลุ่มเป้าหมายที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 จำนวน 22 คน ได้มาโดยวิธีการสุ่มแบบกลุ่ม เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ <br />1) สื่อมัลติมีเดียการเรียนรู้ด้วยตนเอง 2) แผนการจัดการเรียนรู้ สื่อมัลติมีเดีย 3) แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน 4) แบบสอบถามความพึงพอใจของนักเรียน ผลการวิจัยพบว่า<br />1) สื่อมัลติมีเดียการเรียนรู้ด้วยตนเองแบบปรับเหมาะโดยใช้เทคนิค Adaptive Learning มีประสิทธิภาพตามเกณฑ์ที่กำหนดเท่ากับ 83.30 /81.06 ซึ่งมีค่าเฉลี่ยสูงกว่าเกณฑ์มาตรฐาน 80/80 <br />2) ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 <br />3) มีความพึงพอใจต่อสื่อมัลติมีเดียในระดับสูง (M = 4.41, SD = 0.37) </p>
อลิสา จำชาติ
ทักษิณา นพคุณวงศ์
วีระ วราพรม
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิจัยและนวัตกรรมเพื่อความยั่งยืน (JRIS)
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-08-31
2025-08-31
2 4
41
55
-
การศึกษาวิเคราะห์จริยธรรมตามเกณฑ์มาตรฐานวิชาชีพครู ปีพุทธศักราช 2556 ในคำขวัญวันครูแห่งชาติ ระหว่างปีพุทธศักราช 2522-2567
https://so17.tci-thaijo.org/index.php/JRIS/article/view/1124
<p> บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อเพื่อวิเคราะห์จริยธรรมที่ปรากฏในคำขวัญวันครูแห่งชาติ ระหว่างปีพุทธศักราช 2522-2567 โดยใช้เกณฑ์มาตรฐานวิชาชีพครู ปีพุทธศักราช 2556 ด้านมาตรฐานการปฏิบัติตน (จรรยาบรรณของวิชาชีพ) งานวิจัยใช้วิธีการศึกษาเอกสารและวิเคราะห์คำขวัญวันครูจำนวน 46 คำขวัญ ที่เผยแพร่ผ่านเว็บไซต์คุรุสภา กระบวนการวิเคราะห์เน้นคุณธรรมจริยธรรมที่ครูพึงมีตามข้อบังคับว่าด้วยจรรยาบรรณของวิชาชีพซึ่งประกอบด้วยจรรยาบรรณ 5 หมวด 9 ข้อ รวมทั้งสิ้น 17 ประการ เครื่องมือที่ใช้คือ แบบวิเคราะห์คุณธรรม สถิติที่ใช้ ได้แก่ ค่าความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการกระจาย</p> <p> ผลการวิจัยพบว่า คำขวัญวันครูแห่งชาติในช่วงปี พ.ศ. 2522 ถึง พ.ศ. 2567 สะท้อนจริยธรรมวิชาชีพครูตามมาตรฐานปี พ.ศ. 2556 ได้อย่างชัดเจน โดยเฉลี่ยคำขวัญแต่ละปีแสดงถึงจริยธรรม 5-6 ข้อ โดยเฉพาะด้านการปฏิบัติตนอย่างบริสุทธิ์ใจ การสร้างศรัทธาในวิชาชีพ และการแสดงความรักเมตตาต่อศิษย์ ซึ่งเป็นจริยธรรมถูกกล่าวถึงบ่อยที่สุด ทั้งนี้ คำขวัญส่วนใหญ่มุ่งเน้นการปลูกฝังคุณธรรมที่เกี่ยวข้องกับบทบาทหน้าที่และความสัมพันธ์ระหว่างครูกับศิษย์ อย่างไรก็ตาม จริยธรรมด้านการจรรโลงสังคมและสิ่งแวดล้อมรวมถึงการสร้างสัมพันธภาพในระดับองค์กรวิชาชีพ ยังได้รับการนำเสนอในคำขวัญค่อนข้างน้อย</p>
ประภากร พาป้อ
ปพิชญา พรหมกันธา
สิริศักดิ์ อาจวิชัย
กุสุมา สุ่มมาตร์
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิจัยและนวัตกรรมเพื่อความยั่งยืน (JRIS)
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-08-31
2025-08-31
2 4
56
73
-
การศึกษาวิเคราะห์แนวคิดและภาพจน์ที่ปรากฏในมังคลัตถทีปนี
https://so17.tci-thaijo.org/index.php/JRIS/article/view/1125
<p> การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ เพื่อศึกษาวิเคราะห์แนวคิดและภาพพจน์ที่ปรากฏในมังคลัตถทีปนี เป็นงานวิจัยเชิงคุณภาพ โดยใช้หนังสือมังคลัตถทีปนี ฉบับภาษาบาลี จำนวน 2 เล่ม และมังคลัตถทีปนีแปล จำนวน 5 เล่ม พบว่า</p> <p> ด้านแนวคิด จากการศึกษาพบ 7 แนวคิด ได้แก่ 1) แนวคิดเกี่ยวกับการคบคน ประกอบด้วย<br />การไม่คบคนพาล, การคบบัณฑิต, บูชาคนที่ควรบูชา และการเห็นสมณะ 2) แนวคิดเกี่ยวกับการศึกษา ซึ่งประกอบด้วยการเป็นพหูสูต, การเรียนศิลปวิทยา, การมีวินัยที่ดี, การมีความอดทน, การเป็นคนว่าง่าย, การมีความเคารพต่อคนอื่น, การมีความถ่อมตน, การฟังธรรม และสนทนาธรรมตามกาล 3) แนวคิดเกี่ยวกับอยู่ในสังคมอย่างสันติ ซึ่งประกอบด้วยการตั้งตนไว้ชอบ, การให้ทาน, การพูดดี, การไม่ดื่มน้ำเมา และการสันโดษ 4) แนวคิดเกี่ยวกับการเลี้ยงดูบุคคลอันเป็นที่รัก ซึ่งประกอบด้วยการเลี้ยงมารดาบิดา, การเลี้ยงดูบุตร, การสงเคราะห์ภริยา-สามี, การสงเคราะห์ญาติ และการมีความกตัญญู 5) แนวคิดเกี่ยวกับการงาน ซึ่งประกอบด้วยการอยู่ในถิ่นที่เหมาะสม, การทำงานไม่คั่งค้าง และงานไม่มีโทษและไม่มีบาป 6) แนวคิดเกี่ยวกับการประพฤติธรรม ซึ่งประกอบด้วยการประพฤติธรรม, การไม่ประมาท, การบำเพ็ญตบะ, <br />การประพฤติพรหมจรรย์, การเห็นอริยสัจ และการทำพระนิพพานให้แจ้ง 7) แนวคิดเกี่ยวกับจิต ซึ่งประกอบด้วยจิตไม่หวั่นไหวในโลกธรรม, จิตไม่โศก, จิตปราศจากธุลี และจิตเกษม</p> <p> ด้านภาพจน์จากการศึกษามังคลัตถทีปนีพบ 3 ประเภท ได้แก่ 1) อุปมา 2) อุปลักษณ์ <br />และ 3) อติพจน์ ด้วยสำนวนอันงดงามและเนื้อหาที่ผสานปรัชญาการดำเนินชีวิตอย่างสมดุลจึงเป็นการกระตุ้นให้ผู้อ่านซึมซับความหมายแห่งธรรมะที่แฝงไว้ในเนื้อหา และเห็นภาพชัดเจนมากขึ้น</p>
ปุ่น ชมภูพระ
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิจัยและนวัตกรรมเพื่อความยั่งยืน (JRIS)
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-08-31
2025-08-31
2 4
74
87
-
การพัฒนาสมรรถนะกลยุทธ์การฟังสำหรับครูโดยใช้แนวคิดสตอรี่ไลน์และวิศวกรสังคม สำหรับนักศึกษาคณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏสกลนคร
https://so17.tci-thaijo.org/index.php/JRIS/article/view/1317
<p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ศึกษา 1) เพื่อพัฒนาสมรรถนะกลยุทธ์การฟังสำหรับครูโดยใช้แนวคิดสตอรี่ไลน์และวิศวกรสังคม สำหรับนักศึกษาคณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏสกลนคร 2) เพื่อวิเคราะห์ระดับคะแนนพัฒนาสัมพัทธ์สมรรถนะกลยุทธ์การฟังสำหรับครูโดยใช้แนวคิดสตอรี่ไลน์และวิศวกรสังคม สำหรับนักศึกษาคณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏสกลนคร เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ แผนการจัดการเรียนรู้สมรรถนะกลยุทธ์การฟังสำหรับครูโดยใช้แนวคิดสตอรี่ไลน์และวิศวกรสังคม จำนวน 3 แผน รวม 9 ชั่วโมง แบบทดสอบก่อนและหลังเรียน และแบบทดสอบวิเคราะห์ระดับคะแนนพัฒนาการสัมพัทธ์สมรรถนะกลยุทธ์การฟังสำหรับครูก่อน-หลังเรียน 1 ชุด จำนวน 20 ข้อ กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ นักศึกษาที่ลงทะเบียนรายวิชากลยุทธ์การสื่อสารสำหรับครู ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2567 จำนวน 2 หมู่เรียน รวมทั้งสิ้น 40 คน ได้มาจากการสุ่มแบบง่าย วิเคราะห์ผลโดยใช้ ค่าร้อยละ (%), ค่าเฉลี่ย (<em>M) </em>และ<br />ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (<em>SD</em>) การเปรียบเทียบคะแนนก่อนและหลังเรียนใช้สถิติการทดสอบค่า <br />t-test แบบ dependent และวิเคราะห์ระดับพัฒนาการโดยใช้สูตรการคำนวณค่าคะแนนพัฒนาการสัมพัทธ์ ผลการวิจัยพบว่า</p> <ol> <li>ผลการเปรียบเทียบคะแนนสมรรถนะกลยุทธ์การฟังสำหรับครู สำหรับนักศึกษาชั้นปีที่ 1 พบว่า คะแนนเฉลี่ยจากแบบทดสอบหลังเรียน (13.05) สูงกว่าคะแนนแบบทดสอบก่อนเรียน (6.20) อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05</li> <li>ผลการวิเคราะห์ระดับพัฒนาการสมรรถนะกลยุทธ์การฟังสำหรับครู โดยใช้แนวคิดสตอรี่ไลน์และวิศวกรสังคม สำหรับนักศึกษาชั้นปีที่ 1 พบว่า โดยรวมค่าเฉลี่ยของคะแนนพัฒนาการเท่ากับ 50.66 นักศึกษามีพัฒนาการเฉลี่ยอยู่ในระดับสูง</li> </ol>
กุสุมา สุ่มมาตร์
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิจัยและนวัตกรรมเพื่อความยั่งยืน (JRIS)
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-08-31
2025-08-31
2 4
88
103
-
การพัฒนารูปแบบกำกับติดตามการกินยาผู้ป่วยวัณโรคปอดโดยใช้กลไกคณะกรรมการพัฒนาคุณภาพชีวิตอำเภอ เขตอำเภอเมืองชัยภูมิ จังหวัดชัยภูมิ
https://so17.tci-thaijo.org/index.php/JRIS/article/view/1193
<p> การวิจัยเชิงปฏิบัติการ (Action research) นี้มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนารูปแบบการกำกับติดตามการกินยาผู้ป่วยวัณโรคปอดในเขตอำเภอเมืองชัยภูมิ โดยใช้กลไกคณะกรรมการพัฒนาคุณภาพชีวิตอำเภอ ทำการศึกษาระหว่างเดือน ตุลาคม 2566 ถึง มีนาคม 2568 คัดเลือกกลุ่มตัวอย่างแบบเจาะจง คือ 1) กลุ่มผู้มีส่วนได้ส่วนเสียการดำเนินงานวัณโรค รวมจำนวน 125 คน ได้แก่ คณะกรรมการพัฒนาคุณภาพชีวิตอำเภอ จำนวน 95 คน และบุคลากรทางการแพทย์ จำนวน 30 คน และ 2) กลุ่มที่ใช้ประเมินผลลัพธ์ของรูปแบบการกำกับติดตามการกินยาของผู้ป่วยวัณโรคปอดที่พัฒนาขึ้น ในเขตอำเภอเมืองชัยภูมิ ซึ่งเป็นผู้ป่วยวัณโรคปอดขึ้นทะเบียนระหว่างเดือน มกราคม 2567 - มิถุนายน 2567 จำนวน 105 คน</p> <p> ผลการศึกษา การพัฒนารูปแบบดำเนินการ 5 ขั้นตอน โดยใช้กระบวนการ PAOR ได้แก่ 1) ศึกษาสถานการณ์และสภาพปัญหาโดยวิเคราะห์ข้อมูลผู้ป่วยวัณโรคปอดในพื้นที่ พบว่าอัตราการขาดยาสูง เกิดจากปัจจัยด้านความยากจน ขาดการดูแลเอาใจใส่จากครอบครัว และขาดระบบสนับสนุนด้านการกำกับติดตามการรักษาที่เข้มแข็งจากเครือข่ายในชุมชน 2) ออกแบบและพัฒนารูปแบบตามแนวทางดูแลผู้ป่วยวัณโรค 3 สี และรูปแบบกำกับติดตามการกินยาแบบ 2-2-2 โดยการมีส่วนร่วมของคณะกรรมการ พชอ. ผสมผสานการเยี่ยมบ้านโดย อสม. และพัฒนาระบบส่งต่อข้อมูลผู้ป่วยและการติดตามผ่านแอปพลิเคชัน TB- Tracking 3) นำรูปแบบที่พัฒนาขึ้นเบื้องต้นไปทดลองใช้ใน 3 ชุมชนต้นแบบ 4) นำรูปแบบที่พัฒนาขึ้นไปใช้จริงในทุกชุมชนในเขตอำเภอเมืองชัยภูมิ และ 5) ประเมินผลลัพธ์ของรูปแบบที่พัฒนาขึ้น ผลการศึกษาพบว่า ผู้ป่วยมีอัตราการกินยาสม่ำเสมอเพิ่มขึ้น อัตราการขาดยาลดลงอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p < 0.05) และผู้ป่วยมีความพึงพอใจอยู่ในระดับสูงต่อรูปแบบการกำกับติดตามการกินยาที่พัฒนาขึ้น ผลการศึกษานี้บ่งชี้ว่า รูปแบบการกำกับติดตามการกินยาของผู้ป่วยวัณโรคปอดที่พัฒนาขึ้นนี้มีประสิทธิภาพต่อการดูแลรักษาผู้ป่วย ดังนั้นควรนำรูปแบบดังกล่าวไปประยุกต์ใช้ในพื้นที่อื่น ๆ ต่อไป</p>
บุญพิสิฐษ์ ธรรมกุล
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิจัยและนวัตกรรมเพื่อความยั่งยืน (JRIS)
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-08-31
2025-08-31
2 4
104
121
-
การพัฒนาทักษะความคิดสร้างสรรค์ของเด็กปฐมวัยโดยใช้การจัดประสบการณ์การเล่านิทาน
https://so17.tci-thaijo.org/index.php/JRIS/article/view/905
<p> การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาทักษะความคิดสร้างสรรค์ของเด็กปฐมวัยโดยใช้การจัดประสบการณ์การเล่านิทาน กลุ่มตัวอย่างในการวิจัย เด็กปฐมวัยชาย-หญิง อายุระหว่าง 3-6 ปี ที่กำลังศึกษาอยู่ในชั้นอนุบาล 1 ภาคเรียนที่ 1/2567 โรงเรียนบ้านโนนท่อนวิทยา ตำบลโนนท่อน อำเภอเมืองขอนแก่น จังหวัดขอนแก่น สำนักงานเขตพื้นที่ประถมศึกษาขอนแก่น เขต 1 จำนวน 11 คน ได้มาจากการเลือกแบบเจาะจง (Purposive sampling) จากแบบประเมินความคิดสร้างสรรค์ พบว่า ความคิดริเริ่ม (Originality) ความคิดคล่องแคล่ว (Fluency) ความยืดหยุ่นในการคิด (Flexibility) ความคิดละเอียดลออ (Elaboration) คะแนนประเมินอยู่ในเกณฑ์ต่ำ เครื่องมือในการวิจัย ได้แก่ 1. แผนการจัดประสบการณ์การเล่านิทาน จำนวน 24 แผน 2. แบบประเมินทักษะความคิดสร้างสรรค์ของเด็กปฐมวัย การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยแบบกึ่งทดลอง (Quasi-experimental research) ใช้แบบแผนการวิจัย One-Group Pretest-Posttest Designวิเคราะห์ข้อมูลค่าคะแนนเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ผลการวิจัย พบว่า ก่อนทดลอง (<em>M</em><em>=</em> 1.50, <em>SD= </em>0.26) แปลผลระดับปรับปรุง หลังทดลอง (<em>M</em><em>=</em> 2.58, <em>SD= </em>0.20) แปลผล<br />ระดับดี สอดคล้องกับสมมุติฐานเด็กปฐมวัยที่ได้รับการจัดประสบการณ์การเล่านิทานมีทักษะความคิดสร้างสรรค์สูงขึ้นหลังการทดลอง สรุปได้ว่า การจัดประสบการณ์การเล่านิทานด้วยวิธีการที่ หลากหลายสามารถพัฒนาทักษะความคิดสร้างสรรค์ในด้านความคิดริเริ่ม ความคิดคล่องแคล่ว ความคิดยืดหยุ่น ความคิดละเอียดลออ และการคิดแปลกใหม่ของเด็กปฐมวัยได้อย่างมีประสิทธิภาพ</p>
จันทร์จิรา แสนสมบัติ
ทิพย์อักษร พุทธสริน
วราพร เคหฐาน
สุทธิดา วันนา
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิจัยและนวัตกรรมเพื่อความยั่งยืน (JRIS)
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-08-31
2025-08-31
2 4
122
135