https://so17.tci-thaijo.org/index.php/palsiuj/issue/feed
วารสารรัฐประศาสนศาสตร์และนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยชินวัตร
2024-12-24T16:45:18+07:00
รศ.ดร.รัฐบุรุษ คุ้มทรัพย์
ratthaburut.k@siu.ac.th
Open Journal Systems
<p><strong>วารสารรัฐประศาสนศาสตร์และนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยชินวัตร</strong></p> <p><strong><span class="Y2IQFc" lang="en">Journal of Public Administration and Law Shinawatra University </span></strong></p> <p><strong style="font-size: 0.875rem; -webkit-text-size-adjust: 100%;"><span class="Y2IQFc" lang="en"><strong>ISSN: </strong></span></strong><span class="Y2IQFc" lang="en">3056-9257 (ออนไลน์)</span></p> <p> วารสารรัฐประศาสนศาสตร์และนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยชินวัตรเป็นสื่อกลางการเผยแพร่ผลงานวิจัย บทความวิชาการ พัฒนาทางสาขาวิชารัฐประศาสนศาสตร์และนิติศาสตร์ ตลอดจนถึง สาขามนุษย์ศาสตร์ และสังคมศาสตร์ เป็นการบูรณาการนโยบายทางการศึกษา การเรียนการสอนและบริการวิชาการแก่ชุมชน โดยรับตีพิมพ์บทความวิจัย และบทความวิชาการ โดยที่บทความดังกล่าวจะต้องไม่เคยเสนอ หรือกำลังเสนอตีพิมพ์ในวารสารวิชาการใดมาก่อน ผลงานที่ได้รับการพิจารณาตีพิมพ์ในวารสารฯ อาจถูกดัดแปลงแก้ไขรูปแบบ และสำนวนตามที่เห็นสมควร ผู้ประสงค์จะนำข้อความใด ๆ ไปพิมพ์เผยแพร่ต่อไป ต้องได้รับอนุญาตจากผู้เขียนตามกฎหมายลิขสิทธิ์</p>
https://so17.tci-thaijo.org/index.php/palsiuj/article/view/723
A COMPARISON BETWEEN COVARIANCE - BASED (CB) AND PARTIAL LEAST SQUARES (PLS) STRUCTURAL EQUATION MODELING : APPLICATIONS, ASSUMPTIONS, AND APPROPRIATENESS
2024-12-24T13:45:56+07:00
Sipnarong Kanchanawongpaisan
sipnarong.ka@gmail.com
<p>This study compares Covariance-Based Structural Equation Modeling (CB-SEM) and Partial Least Squares Structural Equation Modeling (PLS-SEM). We emphasize the distinct scopes, techniques, and applications of each. CB-SEM is specifically designed to evaluate hypotheses and validate them. It is effective with substantial sample sizes and data sets commonly disseminated and extensively used chiefly in social sciences, psychology, and education. The maximum likelihood estimation approach estimates parameters, emphasizing fit indices such as Chi-square, RMSEA, CFI, and TLI. In contrast, Partial Least Squares Structural Equation Modeling (PLS-SEM) is particularly suitable for doing exploratory research or making predictions. It can handle lower sample sizes and data that does not follow a normal distribution. Furthermore, it is prevalent in business, marketing science, information systems, and management research. An iterative technique optimizes the explained variance in Partial Least Squares Structural Equation Modeling (PLS-SEM). This algorithm focuses on key features such as R-squared, Q-squared, Average Variance Extracted (AVE), and Composite Reliability (CR), which are indicators of prediction quality. This research examines how measurement error is addressed in CB-SEM by explicitly including terms, whereas PLS-SEM takes an implicit method. Furthermore, it examines model fit indices and data needs to assist researchers in selecting between these two methodologies, providing them with a practical reference. This document offers comprehensive guidance that considers the study goals and the specific features of the accessible data sets. The preceding discourse enhances the use of rigorous techniques and offers valuable direction to researchers.</p>
2024-12-15T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024
https://so17.tci-thaijo.org/index.php/palsiuj/article/view/724
การศึกษาพฤติกรรมการจัดการขยะมูลฝอยของประชาชนในเขตพื้นที่ตำบลควนกรด อำเภอทุ่งสง จังหวัดนครศรีธรรมราช
2024-12-24T13:58:02+07:00
สุรศักดิ์ แก้วเกื้อ
Surasak_kaew@gmail.com
กิจฐเชต ไกรวาส
Surasak_kaew@gmail.com
อาภาภรณ์ สุขหอม
Surasak_kaew@gmail.com
<p>การศึกษาวิจัย เรื่อง การศึกษาพฤติกรรมการจัดการขยะมูลฝอยของประชาชนในเขตพื้นที่ตำบลควนกรด อำเภอทุ่งสง จังหวัดนครศรีธรรมราช มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาปัญหาขยะมูลฝอยในครัวเรือน และชุมชนในพื้นที่ตำบลควนกรด อำเภอทุ่งสง จังหวัดนครศรีธรรมราช 2) เพื่อศึกษาความรู้ ความเข้าใจ และความตระหนัก ต่อการจัดการขยะมูลฝอยของประชาชนในเขตพื้นที่ตำบลควนกรด อำเภอทุ่งสง จังหวัดนครศรีธรรมราช 3) เพื่อศึกษาพฤติกรรมการจัดการขยะมูลฝอยของประชาชนในเขตพื้นที่ตำบลควนกรดอำเภอทุ่งสง จังหวัดนครศรีธรรมราช และ 4) เพื่อเปรียบเทียบพฤติกรรมการจัดการขยะมูลฝอยของประชาชนในเขตพื้นที่ตำบลควนกรด อำเภอทุ่งสง จังหวัดนครศรีธรรมราช จำแนกตาม เพศ ระดับการศึกษา อาชีพรายได้เฉลี่ยต่อเดือร ระยะเวลาที่อาศัยในในชุมชน ความรู้ในการจัดการขยะมูลฝอย ความเข้าใจในการจัดการขยะมูลฝอย และความตระหนักในการจัดการขยะมูลฝอย โดยจำแนกตามสถานภาพส่วนบุคคล เก็บรวบรวมข้อมูลจากกลุ่มตัวอย่าง จำนวน 367 คน วิเคราะห์ข้อมูลด้วยวิธีการ หาค่าความถี่ (frequency) ค่าเฉลี่ย และร้อยละ (percentage) และทำการทดสอบสมมติฐานการวิจัย โดยใช้สถิติเชิงอนุมานผลการศึกษาวิจัย พบว่า พฤติกรรมการจัดการขยะมูลฝอยของประชาชนในเขตพื้นที่ตำบลควนกรดอำเภอทุ่งสง จังหวัดนครศรีธรรมราช ภาพรวมอยู่ในระดับดี ประเภทของขยะส่วนใหญ่เป็นขยะอินทรีย์รองลงมาขยะทั่วไป ขยะอันตราย และขยะรีไซเคิล ประชาชนมีความรู้ ความเข้าใจ ความตระหนักต่อการจัดการขยะมูลฝอยซึ่งประชาชนมีความคาดหวังการสนับสนุนจากหน่วยงานภาครัฐในพื้นที่ให้มีการจัดการขยะตั้งแต่กระบวนการต้นนํ้า กลางนํ้า และปลายนํ้า ในพื้นที่ตำบล การปฏิบัติตนเกี่ยวกับการจัดการขยะมูลฝอยซึ่งมีระดับคะแนนความถี่ในการปฏิบัติการทั้ง 4 ด้าน ได้แก่ (1) ด้านการลดการเกิดขยะ (2) ด้านการคัดแยกขยะ (3) ด้านการเก็บรวบรวม/การนำกลับมาใช้ประโยชน์ และ (4) ด้านการกำจัดขยะ อยู่ในระดับดี ส่วนผลการเปรียบเทียบพฤติกรรมการจัดการขยะมูลฝอยของประชาชนในเขตพื้นที่ตำบลควนกรด อำเภอทุ่งสง จังหวัดนครศรีธรรมราช พบว่า ประชาชนที่มีเพศที่ต่างกัน มีพฤติกรรมการจัดการขยะมูลฝอยแตกต่างกัน ส่วนประชาชนที่มีระดับการศึกษา อาชีพ รายได้ ระยะเวลาที่อาศัยอยู่ในชุมชนต่างกันมีพฤติกรรมการจัดการขยะมูลฝอยไม่แตกต่างกันที่ระดับนัยสำคัญทางสถิติ .05</p>
2024-12-15T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024
https://so17.tci-thaijo.org/index.php/palsiuj/article/view/725
ความไว้วางใจของผู้รับบริการประกันภัยรถยนต์ต่อบริษัท ทิพยประกันภัย จำกัด (มหาชน) สาขานครศรีธรรมราช
2024-12-24T14:09:18+07:00
วิภารัตน์ ทองแท้
wipharat.t@gmail.com
นันธิดา จันทร์ศิริ
wipharat.t@gmail.com
อาภาภรณ์ สุขหอม
wipharat.t@gmail.com
<p> การศึกษาครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) เพื่อวิเคราะห์ระดับความไว้วางใจของผู้รับบริการประกันภัยรถยนต์ต่อ บริษัท ทิพยประกันภัย จำกัด (มหาชน) สาขานครศรีธรรมราชและ 2) เพื่อศึกษาเปรียบเทียบความไว้วางใจของผู้รับบริการประกันภัยรถยนต์ต่อ บริษัท ทิพยประกันภัย จำกัด (มหาชน) สาขานครศรีธรรมราช จำแนกตามปัจจัยส่วนบุคคล เป็นการศึกษาวิจัยแบบเชิงปริมาณ (Quantitative Research) ประชากรวิจัยคือ ผู้ที่ใช้บริการของ บริษัท ทิพยประกันภัย จำกัด (มหาชน) สาขานครศรีธรรมราช ประจำเดือน เดือนเมษายน 2567 จำนวน 192 คน เครื่องมือที่ใช่ในการวิจัยครั้งนี้ ผู้วิจัยใช้แบบสอบถาม (Questionnaire)</p> <p> ผลการศึกษาพบว่า 1. ระดับความไว้วางใจของผู้รับบริการประกันภัยรถยนต์ต่อ บริษัท ทิพยประกันภัย จำกัด (มหาชน) สาขานครศรีธรรมราช มีความไว้วางใจในระดับมากที่สุด โดย 1) ด้านความเชื่อมั่น ผู้ใช้บริการมีความรู้สึกเชื่อมั่นในชื่อเสียงของบริษัท ทิพยประกันภัย จํากัด (มหาชน) สาขานครศรีธรรมราชและการเป็นที่ยอมรับ อยู่ในระดับมากที่สุด รองลงมาคือ ผู้ใช้บริการรู้สึกปลอดภัยในด้านการเงินของบริษัท ทิพยประกันภัย จํากัด (มหาชน) สาขานครศรีธรรมราช 2) ด้านความไว้วางใจต่อการรับบริการประกันภัยรถยนต์ของ บริษัท ทิพยประกันภัย จํากัด (มหาชน) สาขานครศรีธรรมราช มีความเชื่อมั่นในการให้บริการของพนักงานมากที่สุด รองลงมา พนักงานมีการชี้แจงรายละเอียดให้ทราบทุกขั้นตอน 3) ด้านความไว้วางใจต่อการรับบริการประกันภัยรถยนต์ของ บริษัท ทิพยประกันภัย จํากัด (มหาชน) สาขานครศรีธรรมราช ด้านผลิตภัณฑ์ มีความไว้วางใจอยู่ในระดับมากที่สุด รองลงมา บริษัท ทิพยประกันภัย จํากัด (มหาชน) สาขานครศรีธรรมราช มีเงื่อนไขความคุ้มครองชัดเจนและเข้าใจง่าย</p> <ol start="2"> <li class="show">เปรียบเทียบความไว้วางใจของผู้รับบริการประกันภัยรถยนต์ต่อ บริษัท ทิพยประกันภัย จำกัด (มหาชน) สาขานครศรีธรรมราช พบว่า ผู้รับบริการที่มี เพศ อายุ รายได้ อาชีพ สถานภาพ และระดับการศึกษา ต่างกันมีความไว้วางใจต่อบริษัท ทิพยประกันภัย จำกัด (มหาชน) สาขานครศรีธรรมราช ไม่แตกต่างกัน</li> </ol> <p> </p>
2024-12-15T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024
https://so17.tci-thaijo.org/index.php/palsiuj/article/view/728
พฤติกรรมการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมของนักท่องเที่ยว กรณีศึกษา ตำบลปากพูน อำเภอเมือ. จังหวัดนครศรีธรรมราช
2024-12-24T15:53:28+07:00
ปวริศา สงเกิดทอง
pawarisa_skt@gmail.com
อาภาภรณ์ สุขหอม
pawarisa_skt@gmail.com
กิจฐเชต ไกรวาส
pawarisa_skt@gmail.com
<p> การศึกษาเรื่อง พฤติกรรมการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมของนักท่องเที่ยว กรณีศึกษา ตำบลปากพูน อำเภอเมือง จังหวัดนครศรีธรรมราช มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาพฤติกรรมของนักท่องเที่ยวในการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม เพื่อศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างปัจจัยส่วนประสมทางการตลาด และแรงจูงใจทางการท่องเที่ยวกับพฤติกรรมของนักท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม ตำบลปากพูน อำเภอเมือง จังหวัดนครศรีธรรมราช เครื่องมือที่ใช้เก็บรวบรวมข้อมูล คือ แบบสอบถาม ส่วนการวิเคราะห์ข้อมูลใช้สถิติค่าความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ยและส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานใช้สถิติ t-test สำหรับทดสอบความแตกต่างระหว่างตัวแปรอิสระที่มี 2 กลุ่มและใช้สถิติ One-way ANOVA สำหรับเปรียบเทียบความแตกต่างระหว่างตัวแปรอิสระที่มี 3 กลุ่มขึ้นไป โดยกำหนดระดับนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05</p> <p> ผลการศึกษาพบว่า ส่วนประสมทางการตลาดที่มีความสัมพันธ์กับพฤติกรรมการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมของนักท่องเที่ยว ภาพรวมอยู่ในระดับมาก เมื่อพิจารณารายด้าน พบว่า ด้านผลิตภัณฑ์ อยู่ในระดับมาก รองลงมาคือ ด้านการส่งเสริมการตลาด อยู่ในระดับมาก ด้านบุคลากร อยู่ในระดับมาก และด้านราคา อยู่ในระดับมาก แรงจูงใจการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมของนักท่องเที่ยว ภาพรวมอยู่ในระดับมาก เมื่อพิจารณารายด้านพบว่า ด้านการเรียนรู้ทางวัฒนธรรม อยู่ในระดับมาก เป็นอันดับแรก รองลงมาคือ ด้านเกียรติภูมิ มีแรงจูงใจอยู่ในระดับมาก และด้านการพักผ่อน อยู่ในระดับมาก พฤติกรรมการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมของนักท่องเที่ยว ไม่เคยเดินทางมาก่อน รับทราบข้อมูลจากการบอกต่อจากคนรู้จัก/บุคคลใกล้ชิด ไม่ค้างคืน สถานที่ที่พักค้างคืนอำเภอเมือง เดินทางมาในช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์/วันหยุดนักขัตฤกษ์/วันหยุดเทศกาล เดินทางมาท่องเที่ยวกับคู่ครอง/ครอบครัว/ญาติ เดินทางด้วยรถยนต์ส่วนตัว ค่าใช้จ่ายในการเดินทาง 4,000 บาทขึ้นไป การเปรียบเทียบพฤติกรรมการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมของนักท่องเที่ยว พบว่า นักท่องเที่ยวที่มีเพศ สถานภาพ และรายได้ต่อเดือนที่แตกต่างกัน พฤติกรรมการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม ไม่แตกต่างกัน จึงปฏิเสธสมมติฐานการวิจัย แต่นักท่องเที่ยวที่มีอายุต่างกัน มีพฤติกรรมในการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม แตกต่างกัน ซึ่งสอดคล้องกับสมมติฐาน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05</p>
2024-12-15T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024
https://so17.tci-thaijo.org/index.php/palsiuj/article/view/729
ปัจจัยที่ส่งผลต่อพฤติกรรมการออมเงินของข้าราชการสำนักงบประมาณกลาโหม
2024-12-24T16:04:09+07:00
สุรสิทธิ์ วันทาเขียว
nattawut@ru.ac.th
ณัฐวุฒิ ฮันตระกูล
nattawut@ru.ac.th
<p> งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ เพื่อศึกษาเปรียบเทียบปัจจัยส่วนบุคคลที่แตกต่างกัน กับพฤติกรรมการออมเงินของข้าราชการ สำนักงบประมาณกลาโหม และความรู้ความเข้าใจการออมเงิน ที่ส่งผลต่อพฤติกรรมการออมเงินของข้าราชการ สำนักงบประมาณกลาโหม ผู้วิจัยเลือกข้าราชการ สำนักงบประมาณกลาโหมเป็นกลุ่มเป้าหมาย จำนวน 172 คน โดยใช้วิธีการคำนวณขนาดกลุ่มตัวอย่างของทาโร่ ยามาเน่ ใช้การวิเคราะห์ข้อมูลด้วยค่าร้อยละ (Percentage), ค่าความถี่ (Frequency), ค่าเฉลี่ย (Mean), ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (Standard deviation), สถิติ t-test, สถิติ F-test และการวิเคราะห์การถดถอยพหุคูณ (Multiple Regression Analysis) ผลการวิจัยพบว่า ผู้ที่ตอบแบบสอบถาม ส่วนใหญ่เป็นเพศหญิง เป็นนายทหารชั้นประทวน มีช่วงอายุระหว่าง 26 - 33 ปี ซึ่งปัจจุบันมีสถานภาพโสด มีการศึกษาตั้งแต่ปริญญาตรีขึ้นไป มีรายได้เฉลี่ยต่อเดือนอยู่ที่ 15,001 - 20,000 บาท เป็นข้าราชการฝ่ายปฏิบัติการ คิดเป็นร้อยละ 84.6 และมีอายุราชการอยู่ที่ระหว่าง 4 - 6 ปี ความรู้ความเข้าใจด้านการออมเงิน โดยภาพรวมอยู่ในระดับมาก (3.82) เมื่อพิจารณาเป็นรายข้อพบว่า ข้อที่มีค่าเฉลี่ยสูงที่สุดคือ ด้านความรู้ความเข้าใจการออมไว้ใช้ในชีวิตประจำวัน (3.94) รองลงมาคือ ด้านความรู้ความเข้าใจการออมไว้ใช้จ่ายฉุกเฉิน (3.91) รองลงมาคือ ด้านความรู้ความเข้าใจการออมเพื่อพัฒนาตนเอง (3.79) รองลงมาคือ ด้านความรู้ความเข้าใจรูปแบบการออมเงิน (3.75) และน้อยที่สุด คือ ด้านความรู้ความเข้าใจการออมเพื่อการลงทุน (3.71) ตามลำดับ และพฤติกรรมการออมเงิน โดยภาพรวมอยู่ในระดับปานกลาง (3.24) เมื่อพิจารณาเป็นรายข้อพบว่า ข้อที่มีค่าเฉลี่ยสูงที่สุดคือ ด้านเป้าหมายในการออม (Why) (3.82) รองลงมาคือ ด้านสถานที่ในการออม (Where) (3.37) รองลงมาคือ ด้านประเภทการออม (What) (3.17) รองลงมาคือ ด้านการส่งเสริมการออม (How) (3.16) รองลงมาคือ ด้านผู้มีอิทธิพลต่อการออม (Who) (3.00) และน้อยที่สุด คือ ด้านช่วงเวลาในการออม (When) (2.89) ตามลำดับ</p>
2024-12-15T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024
https://so17.tci-thaijo.org/index.php/palsiuj/article/view/731
ทัศนคติของนิสิตปริญญาตรีที่มีต่อการปกครองระบอบประชาธิปไตย กรณีศึกษา : นิสิตรัฐศาสตรบัณฑิต มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย หน่วยวิทยบริการจังหวัดชลบุรี
2024-12-24T16:45:18+07:00
ชูศักดิ์ ฟุ้งเดช
vichien@buu.ac.th
วิเชียร ตันศิริคงคล
vichien@buu.ac.th
<p>งานวิจัยนนี้มีวัตถุประสงค์ วัตถุประสงค์การวิจัย 1. เพื่อศึกษาระดับทัศนคติของนิสิตรัฐศาสตรบัณฑิต มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย หน่วยวิทยบริการจังหวัดชลบุรี ที่มีต่อการปกครองระบอบประชาธิปไตย และ 2. เพื่อศึกษาเปรียบเทียบระดับทัศนคติของนิสิตรัฐศาสตรบัณฑิต มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย หน่วยวิทยบริการจังหวัดชลบุรี ที่มีต่อการปกครองระบอบประชาธิปไตย จำแนกตามปัจจัยส่วนบุคคล เก็บรวบรวมข้อมูลโดยใช้ แบบสอบถาม (Questionnaire) ศึกษาระดับทัศนคติของนิสิตระดับปริญญาตรี ที่มีต่อการ ปกครองระบอบประชาธิปไตย กรณีศึกษา : นิสิตรัฐศาสตรบัณฑิต มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย หน่วยวิทยบริการจังหวัดชลบุรี จำนวน 100 คน สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลได้แก่ สถิติการแจกแจงความถี่ , ค่าร้อยละ , หาค่าเฉลี่ย , ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน , สถิติค่าที และวิเคราะห์ความแปรปรวนทางเดียว ผลการวิจัยพบว่า ผู้ตอบแบบสอบถามส่วนใหญ่เป็นเพศชาย มีช่วงอายุระหว่าง 20 – 24 ปี มีสถานภาพโสด มีภูมิลำเนาอาศัยอยู่ในภาคตะวันออก และสำเร็จการศึกษาระดับมัธยมศึกษาตอนปลายจากโรงเรียนในสังกัดของรัฐบาล ระดับทัศนคติของนิสิตระดับปริญญาตรีที่มีต่อการปกครองระบอบประชาธิปไตย โดยภาพรวมมีทัศนคติอยู่ในระดับค่อนข้างสูง โดยเรียงลำดับจากมากไปหาน้อย คือ ด้านการรู้การเข้าใจที่มีต่อการปกครองระบอบประชาธิปไตย มีทัศนคติอยู่ในระดับค่อนข้างสูง รองลงมาคือด้านพฤติกรรมที่มีต่อการปกครองระบอบประชาธิปไตย มีทัศนคติอยู่ในระดับค่อนข้าง และสุดท้ายคือ ด้านอารมณ์ที่มีต่อการปกครองระบอบประชาธิปไตย มีทัศนคติอยู่ในระดับปานกลาง ตามลำดับ</p> <p><strong> </strong></p>
2024-12-15T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024