https://so17.tci-thaijo.org/index.php/palsiuj/issue/feed
วารสารรัฐประศาสนศาสตร์และนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยชินวัตร
2025-08-30T15:16:17+07:00
รศ.ดร.รัฐบุรุษ คุ้มทรัพย์
ratthaburut.k@siu.ac.th
Open Journal Systems
<p><strong>วารสารรัฐประศาสนศาสตร์และนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยชินวัตร</strong></p> <p><strong><span class="Y2IQFc" lang="en">Journal of Public Administration and Law Shinawatra University </span></strong></p> <p><strong style="font-size: 0.875rem; -webkit-text-size-adjust: 100%;"><span class="Y2IQFc" lang="en"><strong>ISSN: </strong></span></strong><span class="Y2IQFc" lang="en">3056-9257 (ออนไลน์)</span></p> <p> วารสารรัฐประศาสนศาสตร์และนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยชินวัตรเป็นสื่อกลางการเผยแพร่ผลงานวิจัย บทความวิชาการ พัฒนาทางสาขาวิชารัฐประศาสนศาสตร์และนิติศาสตร์ ตลอดจนถึง สาขามนุษย์ศาสตร์ และสังคมศาสตร์ เป็นการบูรณาการนโยบายทางการศึกษา การเรียนการสอนและบริการวิชาการแก่ชุมชน โดยรับตีพิมพ์บทความวิจัย และบทความวิชาการ โดยที่บทความดังกล่าวจะต้องไม่เคยเสนอ หรือกำลังเสนอตีพิมพ์ในวารสารวิชาการใดมาก่อน ผลงานที่ได้รับการพิจารณาตีพิมพ์ในวารสารฯ อาจถูกดัดแปลงแก้ไขรูปแบบ และสำนวนตามที่เห็นสมควร ผู้ประสงค์จะนำข้อความใด ๆ ไปพิมพ์เผยแพร่ต่อไป ต้องได้รับอนุญาตจากผู้เขียนตามกฎหมายลิขสิทธิ์</p>
https://so17.tci-thaijo.org/index.php/palsiuj/article/view/1369
แนวทางการแก้ไขปัญหาหาบเร่แผงลอยกรณีศึกษา : การกระทำผิดบนทางเท้าของเขตบางแค กรุงเทพมหานคร
2025-08-28T16:42:03+07:00
สิทธิ์พิพัฒน์ ชุมช่วย
sakdas@siamtechno.ac.th
ศักดา ศิลปาภิสันทน์
sakdas@siamtechno.ac.th
<p> การศึกษาครั้งนี้จึงมีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาระดับปัญหาหาบเร่แผงลอยกรณีศึกษา: การกระทำผิดบนทางเท้าของเขตบางแคกรุงเทพมหานคร 2) เปรียบเทียบระดับปัญหาการหาบเร่แผงลอยกรณีศึกษา: การกระทำผิดบนทางเท้า ของเขตบางแค กรุงเทพมหานคร จำแนกตามเพศและประสบการณ์การทำงาน 3) เสนอแนะแนวทางการแก้ไขปัญหาหาบเร่แผงลอยกรณีศึกษา: การกระทำผิดบนทางเท้าของเขตบางแค กรุงเทพมหานคร การศึกษาวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยแบบผสมผสาน เก็บรวบรวมข้อมูลด้วยแบบสอบถาม และแบบสัมภาษณ์ ตัวอย่างซึ่งได้มาจากการสุ่มแบบง่ายจากเจ้าหน้าที่ สำนักงานเขตบางแค กรุงเทพมหานคร จำนวน 270 คน</p> <p> ผลการศึกษาพบว่า 1) ปัญหาหาบเร่แผงลอยกรณีศึกษา: การกระทำผิดบนทางเท้าของเขตบางแคกรุงเทพมหานคร โดยรวมอยู่ในระดับปานกลาง เมื่อพิจารณาเป็นรายด้าน พบว่า ด้านทรัพยากรนโยบาย มีค่าเฉลี่ยสูงสุด รองลงมา คือ ด้านสมรรถนะของหน่วยปฏิบัติงาน ด้านการสื่อสารระหว่างองค์กรและกิจกรรมการเสริมแรง และด้านการมีส่วนของประชาชนมีค่าเฉลี่ยต่ำสุด 2) เจ้าหน้าที่สำนักงานเขตบางแคที่มีเพศต่างกันมีความคิดเห็นต่อปัญหาการหาบเร่แผงลอยกรณีศึกษา: การกระทำผิดบนทางเท้า ของเขตบางแค กรุงเทพมหานคร ไม่แตกต่างกัน และเจ้าหน้าที่สำนักงานเขตบางแคที่มีประสบการณ์การทำงานต่างกัน มีความคิดเห็นต่อปัญหาการหาบเร่แผงลอยกรณีศึกษา: การกระทำผิดบนทางเท้า ของเขตบางแค กรุงเทพมหานคร แตกต่างกัน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 3) เสนอแนะแนวทางการแก้ไขปัญหาหาบเร่แผงลอยกรณีศึกษา: การกระทำผิดบนทางเท้าของเขตบางแค กรุงเทพมหานคร พบว่า ขาดบุคลากรผู้เชี่ยวชาญด้านนิติกรณ์ ผู้ค้าไม่ให้ความร่วมมือ จัดให้มีการอบรมให้ความรู้แก่เจ้าหน้าที่เพิ่มขึ้นเพื่อนำไปประชาสัมพันธ์และทำความเข้าใจกับประชาชน การนำนโยบายไปปฏิบัติอาจจะต้องมีการปรับให้เหมาะสมและมีความยืดหยุ่นตามบริบทของสภาพเศรษฐกิจและสังคม</p>
2025-06-05T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025
https://so17.tci-thaijo.org/index.php/palsiuj/article/view/1374
ความสัมพันธ์ของการบริหารงานวิชาการกับคุณภาพผู้เรียนของบุคลากรทางการศึกษา จังหวัดนครปฐม
2025-08-30T13:46:53+07:00
ธนัชกัญ ใช้เจริญ
thanadyun@mcu.ac.th
ถนัด ยันต์ทอง
thanadyun@mcu.ac.th
<p>การวิจัยครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาระดับการบริหารวิชาการ 2) ศึกษาระดับคุณภาพผู้เรียนเรียน 3)ศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างการบริหารงานวิชาการกับคุณภาพผู้เรียนของบุคลากรทางการศึกษา จังหวัดนครปฐม กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ใขการศึกษาครั้งนี้ คือบุคลากรทางการศึกษาการ จำนวน 385 คน เครื่องมือที่ใช้คือแบบสอบถาม การวิเคราะห์ข้อมูล การหาค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และหาความสัมพันธ์โดยใช่ค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์แบบเพียร์สัน ผลการวิจัยพบว่า 1) การบริหารวิชาการภาพรวมอยู่ในระดับปานกลาง เมื่อจำแนกเป็นรายด้าน พบว่า อันดับที่ 1 คือ ด้านการพัฒนาหลักสูตรสถานศึกษา รองลงมา คือ ด้านการวัดผลประเมินผลและเทียบโอนผลการเรียน และอันดับสุดท้ายคือ ด้านการพัฒนาระบบการประกันคุณภาพภายในสถานศึกษา 2) คุณภาพผู้เรียนอยู่ในระดับมาก เมื่อพิจารณาเป็นรายข้อพบว่า อันดับที่ 1 คือด้านผู้เรียนมีสุขภาวะที่ดีและมี สุนทรียภาพ รองลงมา คือ ด้านผู้เรียนมีคุณธรรม จริยธรรมและ ค่านิยมที่พึงประสงค์ และอันดับสุดท้ายคือด้านผู้เรียนมีความสามารถในการคิดอย่าง เป็นระบบ คิดสร้างสรรค์ ตัดสินใจแก้ปัญหาได้อย่างมีสติ สมเหตุสมผล 3) ความสัมพันธ์ระหว่างการบริหารงานวิชาการกับคุณภาพผู้เรียนของบุคลากรทางการศึกษา จังหวัดนครปฐมโดยภาพรวม มีค่าความสัมพันธ์ทางบวกอยู่ในเกณฑ์ระดับปานกลาง อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.01</p>
2025-07-04T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025
https://so17.tci-thaijo.org/index.php/palsiuj/article/view/1375
รูปแบบภาวะผู้นำทางวิชาการของผู้บริหารสถานศึกษาขนาดเล็ก สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาในจังหวัดสกลนคร
2025-08-30T13:55:41+07:00
ปราการ ช่วยรักษา
prakar.chwy.raksa@gmail.com
เชาวลิต เหมะธุลิน
prakar.chwy.raksa@gmail.com
ไสว กันนุลา
prakar.chwy.raksa@gmail.com
<p>รูปแบบภาวะผู้นำทางวิชาการของผู้บริหารสถานศึกษาขนาดเล็ก สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาในจังหวัดสกลนครมีวัตถุประสงค์การวิจัย ที่สำคัญ 3 ประการ คือ 1) เพื่อศึกษาสภาพภาวะผู้นำทางวิชาการของผู้บริหารสถานศึกษาขนาดเล็ก สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาในจังหวัดสกลนคร 2) เพื่อพัฒนารูปแบบภาวะผู้นำทางวิชาการของผู้บริหารสถานศึกษาขนาดเล็ก สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาในจังหวัดสกลนคร3) เพื่อประเมินความเหมาะสม ความเป็นไปได้ของรูปแบบภาวะผู้นำทางวิชาการของผู้บริหารสถานศึกษาขนาดเล็ก สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาในจังหวัดสกลนคร</p> <p> กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการศึกษาวิจัย ประกอบด้วยคือ ผู้บริหารโรงเรียนขนาดเล็กสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสกลนคร เขต 3ปีการศึกษา 2559 จำนวน 160 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ แบบสอบถาม การสนทนากลุ่ม (Focus Group Discussion) จำนวน 9 คน และการประเมินความเหมาะสม และความเป็นไปได้โดยผู้เชี่ยวชาญและผู้ทรงคุณวุฒิ จำนวน 20 คน การหาคุณภาพของแบบสอบถามโดยการหาค่า IOC (Item Objective Congruence Index) เลือกเฉพาะข้อคำถามที่มีค่า IOC 0.50 ขึ้นไป และค่าความเชื่อมั่นโดยหาค่าสัมประสิทธิ์แอลฟา (alpha - coefficient) ของครอนบาค (Cronbach) ได้ค่าความเชื่อมั่น 0.97 สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล คือ ข้อมูลเชิงปริมาณ ได้แก่ ร้อยละ(Percentage) ค่าเฉลี่ย (Mean) และค่า เบี่ยงเบนมาตรฐาน (Standard Deviation) ส่วนข้อมูลเชิงคุณภาพใช้วิธีการวิเคราะห์เนื้อหา(Content Analysis) จากข้อเสนอแนะของผู้เชี่ยวชาญและผู้ทรงคุณวุฒิ โดยใช้วิธีการสรุปเป็นความเรียง</p> <p><strong> </strong>ผลการศึกษาพบว่า 1. ผลการวิเคราะห์ระดับสภาพภาวะผู้นำทางวิชาการของผู้บริหารสถานศึกษาขนาดเล็ก สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาในจังหวัดสกลนครโดยรวม อยู่ในระดับมาก ด้านที่มีค่าเฉลี่ยสูงที่สุด ได้แก่ ด้านการส่งเสริมบรรยากาศทางวิชาการ รองลงไป คือ ด้านการวางแผน และด้านที่มีค่าเฉลี่ยน้อยที่สุด คือ ด้านการนิเทศ</p> <ol start="2"> <li class="show">รูปแบบภาวะผู้นำทางวิชาการของผู้บริหารสถานศึกษาขนาดเล็ก สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาในจังหวัดสกลนคร ประกอบด้วย 5 องค์ประกอบ คือ 1) หลักการของรูปแบบ 2) วัตถุประสงค์ของรูปแบบ 3) วิธีดำเนินงานของรูปแบบ 4) แนวการประเมินรูปแบบ และ5) ผลที่ได้จากการใช้รูปแบบ</li> </ol> <p> 3.ผลการวิเคราะห์ความคิดเห็นของผู้เชี่ยวชาญและผู้ทรงคุณวุฒิในการประเมินความเหมาะสม ความเป็นไปได้ของรูปแบบภาวะผู้นำทางวิชาการของผู้บริหารสถานศึกษาขนาดเล็ก สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาในจังหวัดสกลนคร พบว่า ผู้ประเมินมีความคิดเห็นต่อรูปแบบภาวะผู้นำทางวิชาการของผู้บริหารสถานศึกษาขนาดเล็ก สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาในจังหวัดสกลนครโดยรวมอยู่ในระดับมากที่สุด เมื่อพิจารณาเป็นรายด้านพบว่า ทุกด้านอยู่ในระดับมากที่สุด</p>
2025-07-21T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025
https://so17.tci-thaijo.org/index.php/palsiuj/article/view/1376
ความสัมพันธ์ของภาวะผู้นำผู้บริหารกับจิตอาสาของบุคลากรทางการศึกษาสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษานครปฐม เขต 1
2025-08-30T14:52:17+07:00
พรทิพย์ ตั้งเพียร
ntawan@hotmail.com
ถนัด ยันต์ทอง
ntawan@hotmail.com
<p>การวิจัยครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาระดับลักษณะภาวะผู้นำของบุคลากรทางการศึกษา 2) ศึกษาระดับจิตอาสาของบุคลากรทางการศึกษา และ 3) ศึกษาความสัมพันธ์ของภาวะผู้นำผู้บริหารกับจิตอาสาของบุคลากรทางการศึกษาสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษานครปฐม เขต 1 กลุ่มตัวอย่างที่ในการวิจัยครั้งนี้คือ บุคากรทางการศึกษา จำนวน 385 คน เครื่องมือที่ใช้คือ แบบสอบถาม สถิติที่ใช้คือ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการวิเคราะห์ ค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์แบบเพียร์สัน</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า 1) ระดับภาวะผู้นำผู้บริหาร โดยภาพรวมนั้นอยู่ในระดับมากที่สุด เมื่อพิจารณาเป็นรายด้าน พบอันดับที่ 1 คือผู้นำแบบประชาธิปไตย รองลงมา คือผู้นำแบบเสรีนิยม และอันดับสุดท้ายคือ ผู้นำแบบเผด็จการ ตามลำดับ 2) ระดับจิตอาสาโดยภาพรวมอยู่ในระดับมากที่สุด เมื่อพิจารณาเป็นรายด้าน พบว่า อันดับที่ 1 คือด้านการช่วยเหลือผู้อื่น รองลงมาคือด้านความมุ่งมั่นพัฒนาและอันดับสุดท้ายคือ ด้านการเสียสละต่อสังคม ตามลำดับ 3) ความสัมพันธ์ระหว่างภาวะผู้นำผู้บริหารกับจิตอาสาของบุคลากรทางการศึกษาสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษานครปฐม เขต 1โดยภาพรวม มีค่าความสัมพันธ์ทางบวกอยู่ในเกณฑ์ระดับปานกลาง อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.01</p>
2025-07-04T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025
https://so17.tci-thaijo.org/index.php/palsiuj/article/view/1377
ปัจจัยเชิงสาเหตุการบริหารกับประสิทธิผลสถานศึกษาของบุคลากรทางการศึกษา สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาจังหวัดกำแพงเพชร
2025-08-30T14:59:43+07:00
ไพรสนธ์ บดีรัฐ
ntawan@hotmail.com
ถนัด ยันต์ทอง
ntawan@hotmail.com
<p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ระดับศึกษาปัจจัยเชิงสาเหตุในการบริหาร 2) ศึกษาระดับประสิทธิผลการบริหาร และ 3) ศึกษาความสัมพันธ์ของปัจจัยเชิงสาเหตุการบริหารกับประสิทธิผลสถานศึกษาของบุคลากรทางการศึกษา สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาจังหวัดกำแพงเพชร ประชากรที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ครั้งนี้ คือ บุคลากรทางการศึกษา จำนวน 385 คน เครื่องมือที่ใช้คือแบบสอบถาม การวิเคราะห์ข้อมูล การหาค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และหาความสัมพันธ์โดยใช่ค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์แบบเพียร์สัน</p> <p> ผลการวิจัยพบว่า 1) ปัจจัยเชิงสาเหตุ ภาพรวมนั้นอยู่ในระดับมาก เมื่อพิจารณาเป็นรายด้าน พบอันดับที่ 1 คือด้านการบริหารจัดการ รองลงมา คือด้านบรรยากาศและวัฒนธรรมองค์การ ด้านภาวะผู้นำ ด้านการพัฒนาบุคลากร และอันดับสุดท้ายคือ ด้านหลักสูตรและการจัดการเรียนการสอน 2) ประสิทธิผลการบริหาร ภาพรวมอยู่ในระดับมาก เมื่อพิจารณาเป็นรายด้าน พบว่า อันดับที่ 1 คือด้านการบริหารวิชาการ รองลงมาคือด้านบริหารทั่วไป ด้านบริหารงบประมาณ และอันดับสุดท้ายคือ ด้านบริหารบุคคล 3) ความสัมพันธ์ระหว่างปัจจัยเชิงสาเหตุการบริหารกับประสิทธิผลสถานศึกษาของบุคลากรทางการศึกษา สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาจังหวัดกำแพงเพชรโดยภาพรวม มีค่าความสัมพันธ์ทางบวกอยู่ในเกณฑ์ระดับปานกลาง อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.01</p>
2025-07-04T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025
https://so17.tci-thaijo.org/index.php/palsiuj/article/view/1379
ความสัมพันธ์ของปัจจัยการส่งเสริมการบริหารกับการจัดการศึกษาแบบมีส่วนร่วมของบุคลากร ทางการศึกษา จังหวัดสุพรรณบุรี
2025-08-30T15:08:24+07:00
สาวิตรี ม่วงพรวน
sopeewiwatchankit@gmail.com
โสภี วิวัฒน์ชาญกิจ
sopeewiwatchankit@gmail.com
<p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาระดับปัจจัยการส่งเสริมการบริหาร2) ศึกษาศึกษาระดับการมีส่วนร่วมในการบริหารและ 3) ศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างปัจจัยการส่งเสริมการบริหารกับการจัดการศึกษาแบบมีส่วนร่วมของบุคลากรทางการศึกษา จังหวัดสุพรรณบุรี กลุ่มตัวอย่างครั้งนี้ คือ บุคลากรทางการศึกษา จำนวน 385 คน เครื่องมือที่ใช้คือแบบสอบถาม การวิเคราะห์ข้อมูล การหาค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และหาความสัมพันธ์โดยใช่ค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์แบบเพียร์สัน</p> <p> ผลการวิจัยพบว่า 1) ปัจจัยการส่งเสริมการบริหารโดยภาพรวมนั้นอยู่ในระดับมาก เมื่อพิจารณาตามรายด้าน พบอันดับที่ 1 คือ ด้านปัจจัยเกี่ยวกับโรงเรียน รองลงมา คือด้านปัจจัยเกี่ยวกับชุมชนและอันดับสุดท้ายคือ ด้านปัจจัยเกี่ยวกับสภาพแวดล้อม 2) การมีส่วนร่วมในการบริหารโดย ภาพรวมอยู่ในระดับมาก เมื่อพิจารณาตามรายด้าน พบว่า อันดับที่ 1 คือด้านการบริหารวิชาการ รองลงมาคือด้านบริหารทั่วไป ด้านบริหารงบประมาณ และอันดับสุดท้ายคือ ด้านบริหารบุคคล 3) ความสัมพันธ์ระหว่างปัจจัยการส่งเสริมการบริหารกับการจัดการศึกษาแบบมีส่วนร่วมของบุคลากรทางการศึกษา จังหวัดสุพรรณบุรี โดยภาพรวม มีค่าความสัมพันธ์ทางบวกอยู่ในเกณฑ์ระดับปานกลาง อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.01</p>
2025-08-05T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025
https://so17.tci-thaijo.org/index.php/palsiuj/article/view/1380
ชายผ้าเหลืองหลากสี : การนำเสนอภาพลักษณ์ของพระ-เณรที่มีความหลากหลายทางเพศ ในโซเชียลมีเดีย
2025-08-30T15:16:17+07:00
พระก้องเกียรติ แซ่ลิ้ม
kongsakonnakon@gmail.com
<p class="ENAbstract" style="margin: 0cm; text-align: justify; text-justify: inter-cluster;"><span lang="TH" style="font-size: 14.0pt; font-weight: normal;">บทความวิชาการนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาการนำเสนอภาพลักษณ์ของพระภิกษุและสามเณรที่มีความหลากหลายทางเพศในโซเชียลมีเดียร่วมสมัย โดยมุ่งวิเคราะห์บทบาทและผลกระทบทางสังคมที่เกิดขึ้นจากปรากฏการณ์ดังกล่าว ในบริบทสังคมไทย พระสงฆ์ถูกยกย่องเป็นแบบอย่างทางจิตวิญญาณและเป็นศูนย์กลางของวัฒนธรรมชุมชน การแสดงออกซึ่งอัตลักษณ์ทางเพศที่หลากหลายของพระ-เณรผ่านโซเชียลมีเดียจึงเป็นปรากฏการณ์ที่น่าสนใจ ทั้งในแง่การเปิดพื้นที่แสดงตัวตนและการท้าทายกรอบคิดดั้งเดิมของสถาบันสงฆ์ แม้ปรากฏการณ์นี้จะก่อให้เกิดข้อถกเถียงในสังคม แต่ก็สะท้อนถึงความจำเป็นต้องทำความเข้าใจพลวัตทางสังคมที่เปลี่ยนแปลงไป การศึกษานี้ชี้ให้เห็นว่าประเด็นความหลากหลายทางเพศในวงการสงฆ์เป็นเรื่องที่ต้องพิจารณาอย่างรอบด้าน โดยต้องคำนึงถึงหลักธรรมคำสอนทางพระพุทธศาสนาไปพร้อมกับค่านิยมสมัยใหม่ ทั้งนี้เพื่อสร้างสมดุลระหว่างการธำรงรักษาแก่นแท้ของสมณเพศกับการปรับตัวให้สอดคล้องกับยุคสมัย ที่สำคัญ พระสงฆ์จำเป็นต้องปรับพฤติกรรมการแสดงออกให้เหมาะสมทั้งตามหลักพระธรรมวินัยและบริบทสังคมปัจจุบัน เพื่อรักษาความน่าเชื่อถือของสถาบันสงฆ์และศรัทธาของพุทธศาสนิกชน โดยไม่สูญเสียเอกลักษณ์ทางเพศของแต่ละบุคคล</span></p>
2025-06-15T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025