https://so17.tci-thaijo.org/index.php/palsiuj/issue/feed วารสารรัฐประศาสนศาสตร์และนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยชินวัตร 2024-09-08T09:56:33+07:00 รศ.ดร.รัฐบุรุษ คุ้มทรัพย์ ratthaburut.k@siu.ac.th Open Journal Systems <p><strong>วารสารรัฐประศาสนศาสตร์และนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยชินวัตร</strong></p> <p><strong><span class="Y2IQFc" lang="en">Journal of Public Administration and Law Shinawatra University </span></strong></p> <p><strong style="font-size: 0.875rem; -webkit-text-size-adjust: 100%;"><span class="Y2IQFc" lang="en"><strong>ISSN: </strong></span></strong><span class="Y2IQFc" lang="en">3056-9257 (ออนไลน์)</span></p> <p> วารสารรัฐประศาสนศาสตร์และนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยชินวัตรเป็นสื่อกลางการเผยแพร่ผลงานวิจัย บทความวิชาการ พัฒนาทางสาขาวิชารัฐประศาสนศาสตร์และนิติศาสตร์ ตลอดจนถึง สาขามนุษย์ศาสตร์ และสังคมศาสตร์ เป็นการบูรณาการนโยบายทางการศึกษา การเรียนการสอนและบริการวิชาการแก่ชุมชน โดยรับตีพิมพ์บทความวิจัย และบทความวิชาการ โดยที่บทความดังกล่าวจะต้องไม่เคยเสนอ หรือกำลังเสนอตีพิมพ์ในวารสารวิชาการใดมาก่อน ผลงานที่ได้รับการพิจารณาตีพิมพ์ในวารสารฯ อาจถูกดัดแปลงแก้ไขรูปแบบ และสำนวนตามที่เห็นสมควร ผู้ประสงค์จะนำข้อความใด ๆ ไปพิมพ์เผยแพร่ต่อไป ต้องได้รับอนุญาตจากผู้เขียนตามกฎหมายลิขสิทธิ์</p> https://so17.tci-thaijo.org/index.php/palsiuj/article/view/560 NAVIGATING THE FUTURE OF QUANTITATIVE RESEARCH : THE POWER OF STUCTURAL EQUATION MODELING 2024-09-05T17:01:00+07:00 Sipnarong Kanchanawongpaisan sipnarong.ka@gmail.com <p>This study delves into the advanced applications of Structural Equation Modeling (SEM) in modern quantitative research. SEM's versatility and power allow researchers to simultaneously examine multiple relationships and account for measurement errors, offering significant advantages over traditional regression models. This research highlights SEM's capacity to provide detailed and nuanced insights into complex constructs, particularly beneficial in social sciences, business administration, and psychology. A rigorous preparatory process is essential for the robustness and reliability of SEM models. This process includes defining the research problem, conducting a comprehensive literature review, developing a theoretical framework, identifying relevant variables, designing the study, and validating measurement instruments. Evaluating the measurement model fit using various indices, such as the Chi-Square Test, RMSEA, CFI, TLI, SRMR, GFI, and AGFI, ensures a comprehensive model accuracy assessment. The findings underscore the significant implications of SEM for advancing quantitative research methodologies. Researchers can enhance their studies' precision and explanatory power by leveraging SEM. This approach paves the way for exploring intricate relationships and contributes to developing sophisticated and reliable research techniques. This study provides an example process, valuable insights, and practical recommendations for researchers aiming to employ advanced statistical methods, ultimately leading to more robust and insightful findings in various research domains.</p> 2024-05-08T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 https://so17.tci-thaijo.org/index.php/palsiuj/article/view/561 กระบวนการจัดสมดุลทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมบนฐานระเบียงเศรษฐกิจ ภาคตะวันออก 2024-09-05T17:37:20+07:00 พิรจักษณ์ ฉันทวิริยสกุล Saokum.Sai@mcu.ac.th <p>บทความนี้ต้องการศึกษากระบวนการจัดสมดุลทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมบนฐานระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก ในจังหวัดชลบุรี ใช้การวิจัยแบบผสานวิธี (Mixed Method Research) กลุ่มตัวอย่างได้แก่ ประชาชนจังหวัดชลบุรี จำนวน 400 คน และ ผู้ให้ข้อมูลสำคัญและการสนทนากลุ่ม จำนวน 19 คน ใช้แบบสอบถามและแบบสัมภาษณ์เป็นเครื่องมือในการวิจัย วิเคราะห์ข้อมูลด้วยค่าความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการวิเคราะห์เชิงเนื้อหา ผลการศึกษาพบว่า 1) สภาพทั่วไปของกระบวนการจัดสมดุลทรัพยากรธรรมและสิ่งแวดล้อม โดยภาพรวมอยู่ในระดับมากที่สุด เมื่อพิจารณารายด้านจากมากไปหาน้อยได้แก่ ด้านความสอดคล้องกระบวนการ ด้านการสอดส่องดูแล และด้านกลไกในการจัดการความขัดแย้ง ด้านการจัดการทรัพยากร ด้านการรับรู้และให้สิทธิแก่ผู้ใช้ทรัพยากร ด้านการได้รับผลจากการจัดการทรัพยากร ด้านกติกาและการจัดการทรัพยากร ด้านการลงโทษอย่างค่อยเป็นค่อยไป ด้านความชัดเจนของขอบเขต ตามลำดับ 2) ปัญหาของกระบวนการจัดสมดุลทรัพยากรธรรมและสิ่งแวดล้อม พบว่า ปัญหาส่วนใหญ่เกิดจากการขัดแย้งเรื่องสิทธิ 4 ประเภท คือ เกิดปัญหาสิทธิในการเข้าใช้ทรัพยากร ปัญหาสิทธิในการใช้ประโยชน์จากระบบทรัพยากร ปัญหาสิทธิในการจัดการทรัพยากรธรรมชาติ ปัญหาสิทธิในการกีดกันทางทรัพยากรรธรรมชาติ ปัญหาสิทธิในการขายหรือให้ยืมสิทธิ มีการละเมิดสิทธิที่ยังไม่ได้รับอนุญาต 3) การเสนอแนวทางการพัฒนากระบวนการจัดสมดุลทรัพยากรธรรมและสิ่งแวดล้อมโดยการศึกษาค้นคว้าปัญหาและสาเหตุของปัญหาที่เกิดขึ้น ร่วมคิดหาและสร้างรูปแบบและวิธีการพัฒนาเพื่อแก้ปัญหา ร่วมวางนโยบายหรือแผนงาน ร่วมตัดสินใจในการใช้ทรัพยากร&nbsp; ร่วมจัดหรือปรับปรุงระบบการบริหารงาน ร่วมการลงทุนในกิจกรรมด้านสิ่งแวดล้อม ร่วมปฏิบัติตามนโยบายสิ่งแวดล้อม และร่วมควบคุมติดตาม ประเมินผล และร่วมบำรุงรักษาโครงการ</p> 2024-05-08T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 https://so17.tci-thaijo.org/index.php/palsiuj/article/view/562 ความคิดเห็นและการมีส่วนร่วมในการจัดการขยะมูลฝอยของประชาชนในเขต เทศบาลเมืองบ้านบึง จังหวัดชลบุรี 2024-09-05T18:17:15+07:00 ทนงศักดิ์ ขวัญอ่อน ausa.tavarom@gmail.com อุษณากร ทาวะรมย์ ausa.tavarom@gmail.com <p>การศึกษาวิจัยเรื่อง ความคิดเห็นและการมีส่วนร่วมในการจัดการขยะมูลฝอยของประชาชนในเทศบาลเมืองบ้านบึง จังหวัดชลบุรี มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาความคิดเห็นของประชาชนในเขตเทศบาลเมืองบ้านบึง จังหวัดชลบุรีในการจัดการขยะมูลฝอย และเพื่อศึกษาการมีส่วนร่วมในการจัดการขยะมูลฝอยของประชาชนในเขตเทศบาลเมืองบ้านบึง จังหวัดชลบุรี เป็นการวิจัยเชิงปริมาณ เก็บรวบรวมข้อมูลด้วยแบบสอบถามกับกลุ่มตัวอย่างคือ ประชาชนที่เป็นตัวแทนครัวเรือนในเขตเทศบาลเมืองบ้านบึง จานวน 385 คน และวิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติเชิงพรรณนา (Descriptive statistics) ได้แก่ ค่าความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ยและส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ผลการศึกษาสรุปได้ว่า , 1.ความคิดเห็นของประชาชนในการจัดการขยะมูลฝอย พบว่า (1) ประชาชนมีความคิดเห็นต่อการจัดการขยะมูลฝอยในภาพรวม อยู่ในระดับมาก ( =3.92) โดยประชาชนเห็นด้วยมากกับการมีธนาคารขยะ เพราะถือเป็นอีกหนึ่งรูปแบบในการลดปริมาณขยะมูลฝอย และยังเพิ่มรายได้ให้ครัวเรือน/ชุมชน ( =4.14) (2) ประชาชนมีความคิดเห็นต่อการจัดการขยะมูลฝอยของเทศบาลเมืองบ้านบึงในภาพรวม อยู่ในระดับมาก ( =3.76) โดยประชาชนเห็นด้วยมากกับการที่เทศบาลเมืองบ้านบึงออกระเบียบข้อกฎหมายเกี่ยวกับขยะมูลฝอย ได้แก่ เทศบัญญัติเรื่องการจัดการสิ่งปฏิกูลและขยะมูลฝอย และมีการประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนทราบ ( =4.16) และ ประชาชนเห็นด้วยน้อย เกี่ยวกับการแก้ปัญหาขยะมูลฝอยในชุมชนต้องเป็นหน้าที่ของเทศบาลเมืองบ้านบึงเท่านั้น ( =2.31) , 2.การมีส่วนร่วมในการจัดการขยะมูลฝอยของประชาชน พบว่า (1) ประชาชนมีพฤติกรรมการจัดการขยะมูลฝอยในครัวเรือนในภาพรวม อยู่ในระดับมาก ( =3.61) โดย ประชาชนมีความรู้ ความเข้าใจในการคัดแยกขยะแต่ละประเภทอยู่ในระดับมากที่สุด ( =4.24) รองลงมาคือ มีการแยกและนาถุงพลาสติกที่ถูกใช้งานแล้ว กลับมาใช้งานใหม่ซ้ำ อยู่ในระดับมาก ( =4.14) และ บ้านมีถังขยะหรือภาชนะรองรับขยะมูลฝอยอย่างเพียงพอ อยู่ในระดับมาก ( =4.06) ตามลำดับ (2) ประชาชนมีส่วนร่วมในการจัดการขยะมูลฝอยกับเทศบาลเมืองบ้านบึงในภาพรวม อยู่ในระดับมาก ( =3.48) โดยประชาชนมีการเข้าร่วมประชุมประชาคมเพื่อจัดทำแผนการบริหารจัดการขยะมูลฝอยของเทศบาลเมืองบ้านบึง อยู่ในระดับมาก ( =4.01) รองลงมาคือ เคยร่วมกิจกรรมหรือโครงการเกี่ยวกับการบริหารจัดการหรือการให้ความรู้เกี่ยวกับการคัดแยกขยะมูลฝอยในครัวเรือนที่เทศบาลเมืองบ้านบึงจัดขึ้น อยู่ในระดับมาก ( = 3.91) และ ประชาชนมักจะแสดงความคิดเห็นหรือมีข้อเสนอแนะเกี่ยวกับแผนงานหรืองบประมาณในการบริหารจัดการขยะมูลฝอยของเทศบาลเมืองบ้านบึง อยู่ในระดับมาก ( = 3.73) ตามลำดับ</p> 2024-06-08T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 https://so17.tci-thaijo.org/index.php/palsiuj/article/view/563 การจัดการท่องเที่ยวโดยชุมชน กรณีศึกษา บ้านแหลมโฮมสเตย์ ตำบลท่าศาลา อำเภอท่าศาลา จังหวัดนครศรีธรรมราช 2024-09-05T21:02:21+07:00 ศุภพิชญ์ นาคัน qcm_uho@hotmail.com อาภาภรณ์ สุขหอม qcm_uho@hotmail.com กิจฐเชต ไกรวาส qcm_uho@hotmail.com <p>การศึกษาเรื่องการจัดการท่องเที่ยวโดยชุมชน กรณีศึกษา บ้านแหลมโฮมสเตย์ ตำบลท่าศาลา อำเภอท่าศาลา จังหวัดนครศรีธรรมราช มีวัตถุประสงค์ (1) เพื่อศึกษาการจัดการท่องเที่ยวโดยชุมชน (2) เพื่อศึกษาปัญหา/อุปสรรค ในการจัดการท่องเที่ยวโดยชุมชน และ (3) เพื่อเสนอแนวทางการพัฒนาการท่องเที่ยวโดยชุมชนของบ้านแหลมโฮมสเตย์ ตำบลท่าศาลา อำเภอท่าศาลา จังหวัดนครศรีธรรมราช เป็นวิจัยเชิงคุณภาพ (Qualitative Research) โดยการสัมภาษณ์แบบเจาะลึก (In-Depth Interview) กับผู้ให้ข้อมูลสำคัญ (Key Informants) ซึ่งเป็นเป็นสมาชิกกลุ่มวิสาหกิจชุมชนกลุ่มอนุรักษ์ป่าชายเลนบ้านแหลมโฮมสเตย์ จำนวน 7 คน</p> <p>&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp; ผลการศึกษามีดังนี้ 1) การจัดการท่องเที่ยวโดยชุมชนของบ้านแหลมโฮมส พบว่า (1) ด้านการวางแผน มีการกำหนดเป้าหมายขององค์กรในอนาคตว่าต้องทำงานเพื่อบรรลุวัตถุประสงค์ โดยมีการวางแผนงานในการรองรับนักท่องเที่ยว มีการจัดวางแผนงาน เพื่อเตรียมการจัดกิจกรรมในการรองรับนักท่องเที่ยวไว้ล่วงหน้า (2) ด้านการจัดองค์กร มีการจัดโครงสร้างอำนาจหน้าที่แบบเป็นทางการ มีการแบ่งหน้าที่การทำงานอย่างชัดเจน (3) ด้านการจัดบุคคลากร ได้มีการจัดบุคคลกรแต่ละฝ่ายที่เหมาะสม แต่ละฝ่ายมีหัวหน้ากลุ่มในการดำเนินงาน บุคคลกรทุกคนมีความรู้ความสามมารถในการให้บริการแก่นักท่องเที่ยวเป็นอย่างดี (4) ด้านการอำนวยการ มีการตัดสินใจและสั่งการ การควบคุมงาน โดยมีการประสานงานและเชื่อมโยงงานผ่านการวางบทบาทหน้าที่ตามโครงสร้างองค์กรที่แบ่งไว้ (5) ด้านการประสานงาน ได้มีการประสานงานผ่านประธานกลุ่ม และรองประธานกลุ่มเป็นหลัก ในการกระจายข้อมูลต่างๆ ไปสู่หัวหน้าแต่ละกลุ่มงาน หลังจากนั้นหัวหน้ากลุ่มงานจะประสานเชื่อมดยงงานต่างๆ ไปยังบุคคลากรผู้ใต้บังคับบัญชาต่อไป (6) ด้านการรายงาน สมาชิกภายในกลุ่มจะมีการรายงานผ่านหัวหน้ากลุ่มแต่ละกลุ่ม และหัวหน้ากลุ่มจะมารายงานแก่ประธานกลุ่ม ในการจัดการ หรือหาแนวทางแก้ไขปัญหานั้นๆ และ (7) ด้านงบประมาณ มีการบริหารจัดการงบประมาณในการดำเนินงาน สามารถบริหารจัดการได้ดี 2) ปัญหา/อุปสรรค ในการจัดการท่องเที่ยวโดยชุมชน พบว่า ด้านการประชาสัมพันธ์ ด้านการพัฒนาทักษะ และด้านสาธารณูปโภค 3) แนวทางการพัฒนาการท่องเที่ยวโดยชุมชนของบ้านแหลมโฮมสเตย์ พบว่า (1) การพัฒนาเป็นศูนย์ฝึกอาชีพ/แหล่งเรียนรู้ทางธรรมชาติ (2) การประชาสัมพันธ์และทำการตลาด (3) การพัฒนาด้านทักษะความรู้ความสามารถของบุคคลากร และ (4) การพัฒนาด้านสาธารณูปโภค</p> 2024-06-08T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 https://so17.tci-thaijo.org/index.php/palsiuj/article/view/564 การศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างแรงจูงใจในการปฏิบัติงานกับประสิทธิภาพในการปฏิบัติงานของบุคลากรองค์การบริหารส่วนตำบลท่าศาลา อำเภอท่าศาลา จังหวัดนครศรีธรรมราช 2024-09-05T21:30:15+07:00 คัคนันท์ มีแก้ว kittachet.kr@wu.ac.th กิจฐเชต ไกรวาส kittachet.kr@wu.ac.th อาภาภรณ์ สุขหอม kittachet.kr@wu.ac.th <p>องค์การบริหารส่วนตำบล เป็นหน่วยงานของรัฐที่มีภารกิจในการส่งเสริมท้องถิ่นให้มีความเข้มแข็งในทุกด้าน เพื่อสามารถตอบสนองเจตนารมณ์ของประชาชนได้อย่างแท้จริง ซึ่งเป็นภารกิจที่มีความหลากหลายและครอบคลุมการดำเนินการในหลายด้านโดยเฉพาะการบริหารทรัพยากรบุคคล การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์&nbsp; (1) เพื่อศึกษาระดับแรงจูงใจในการปฏิบัติงานของบุคลากรองค์การบริหารส่วนตำบลท่าศาลา อำเภอท่าศาลา จังหวัดนครศรีธรรมราช (2) เพื่อศึกษาระดับประสิทธิภาพการปฏิบัติงานของบุคลากรองค์การบริหารส่วนตำบลท่าศาลา อำเภอท่าศาลา จังหวัดนครศรีธรรมราช (3) เพื่อเปรียบเทียบประสิทธิภาพการปฏิบัติงานของบุคลากรองค์การบริหารส่วนตำบลท่าศาลา อำเภอท่าศาลา จังหวัดนครศรีธรรมราช กลุ่มตัวอย่าง คือ บุคลากรในองค์การบริหารส่วนตำบลท่าศาลาทั้งหมด (พนักงานส่วนตำบล พนักงานจ้างตามภารกิจ และพนักงานจ้างทั่วไป) จำนวน 150 คน เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บข้อมูล คือ แบบสอบถาม ผู้วิจัยแจกและเก็บรวบรวมข้อมูลแบบสอบถามเก็บจากกลุ่มตัวอย่างพนักงานส่วนตำบล พนักงานจ้างตามภารกิจ พนักงานจ้างทั่วไป สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ การแจกแจงความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย และค่าความเบี่ยงเบนมาตรฐานในการทดสอบสมมติฐาน ใช้สถิติ t-Test และ One-way ANOVA เพื่อทดสอบเปรียบเทียบค่าเฉลี่ยของตัวแปรโดยกำหนดค่านัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05</p> <p><strong>&nbsp;</strong><strong>&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp; </strong>ผลการวิจัย พบว่าด้านปัจจัยจูงใจ อยู่ในระดับมากทุกข้อ ได้แก่ 1) ปัจจัยจูงใจด้านความรับผิดชอบ2) ปัจจัยด้านความสำเร็จในการทำงาน 3) ปัจจัยด้านลักษณะงาน 4) ด้านการได้รับการยอมรับนับถือ และ5) ด้านความก้าวหน้าในการทำงาน และด้านค้ำจุน อยู่ในระดับมากทุกข้อ ได้แก่ 1) ด้านความสัมพันธ์กับเพื่อนร่วมงาน 2) ด้านนโยบายการบริหาร 3) ด้านสภาพแวดล้อมในการทำงาน 4) ด้านความมั่นคงในการทำงาน และ5) ด้านผลตอบแทนและสวัสดิการ</p> 2024-06-08T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 https://so17.tci-thaijo.org/index.php/palsiuj/article/view/565 คุณภาพชีวิตของประชาชน ในเขตพื้นที่องค์การบริหารส่วนตำบลสี่ขีด อำเภอสิชล จังหวัดนครศรีธรรมราช 2024-09-05T22:06:54+07:00 วันชัย ประจันพล kittachet.kr@wu.ac.th นันธิดา จันทร์ศิริ kittachet.kr@wu.ac.th กิจฐเชต ไกรวาส kittachet.kr@wu.ac.th <p>งานวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนในเขตพื้นที่องค์การบริหารส่วนตำบลสี่ขีด อำเภอสิชล จังหวัดนครศรีธรรมราช 2) เพื่อเปรียบเทียบระดับคุณภาพชีวิต</p> <p>ของประชาชนในเขตพื้นที่องค์การบริหารส่วนตำบลสี่ขีด อำเภอสิชล จังหวัดนครศรีธรรมราช จำแนกตามเพศ อายุ ระดับการศึกษา อาชีพ และระดับรายได้ ต่างกัน 3) เพื่อเสนอแนวทางการพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชนในเขตพื้นที่องค์การบริหารส่วนตำบลสี่ขีด อำเภอสิชล จังหวัดนครศรีธรรมราช</p> <p>การวิจัยนี้ เป็นการวิจัยเชิงปริมาณ (Quantitative Research) ใช้กลุ่มประชากรจากผู้ที่มีภูมิลำเนาและพักอาศัยอยู่ในพื้นที่องค์การบริหารส่วนตำบลสี่ขีด อำเภอสิชล จังหวัดนครศรีธรรมราช โดยข้อมูลจากฐานข้อมูลทะเบียนราษฎร สำนักทะเบียนราษฎรอำเภอสิชล ปี 2566 องค์การบริหารส่วนตำบลสี่ขีดมีประชากรรวมทั้งสิ้น 10,098 คน ผ่านการกำหนดขนาดกลุ่มตัวอย่างด้วยตารางสำเร็จรูป Taro Yamane (1973) ด้วยการกำหนดค่าความเชื่อมั่นที่ร้อยละ 95 และกำหนดระดับความคลาดเคลื่อน (e) 5% ได้กลุ่มตัวอย่างจำนวน 390 คน</p> <p>&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp; ผลการศึกษาพบว่า คุณภาพชีวิตของประชาชนในเขตพื้นที่องค์การบริหารส่วนตำบลสี่ขีด</p> <p>1) ด้านร่างกาย พบว่า ในภาพรวมมีค่าเฉลี่ยอยู่ที่ 3.61 และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานอยู่ที่ 0.835 ถือว่าอยู่ในระดับดี 2) ด้านจิตใจ พบว่า ในภาพรวมมีค่าเฉลี่ยอยู่ที่ 3.79 และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานอยู่ 0.883 ถือว่าอยู่ในระดับดี 3) ด้านความสัมพันธ์ทางสังคม พบว่า ในภาพรวมมีค่าเฉลี่ยอยู่ที่ 3.81และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานอยู่ 0.872 ถือว่าอยู่ในระดับดี 4) ด้านสภาพแวดล้อม พบว่า มีค่าเฉลี่ยอยู่ที่ 3.77 และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานอยู่ 0.815 ถือว่าอยู่ในระดับดี 3. ผลการวิจัยมีความสอดคล้องกับสมมติฐานที่ตั้งไว้จำนวน 4 ข้อ และไม่สอดคล้องกับสมมติฐานที่ตั้งไว้จำนวน 1 ข้อ แสดงให้เห็นว่าประชาชนในเขตพื้นที่องค์การบริหารส่วนตำบลสี่ขีด อำเภอสิชล จังหวัดนครศรีธรรมราช เห็นว่าคุณภาพชีวิตของประชาชนเป็นสิ่งสำคัญ ส่วนการศึกษาการเปรียบเทียบระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนในเขตพื้นที่องค์การบริหารส่วนตำบลสี่ขีด อำเภอสิชล จังหวัดนครศรีธรรมราช พบว่า ประชาชนที่มีอายุ ระดับการศึกษา อาชีพ ระดับรายได้ ต่างกัน มีคุณภาพชีวิตแตกต่างกัน ส่วนประชาชนที่มีเพศต่างกัน มีระดับคุณภาพชีวิตไม่แตกต่างกัน</p> 2024-06-08T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 https://so17.tci-thaijo.org/index.php/palsiuj/article/view/567 การซื้อขายสินค้าริมถนนสาธารณะในเขตเทศบาลนครเชียงใหม่ 2024-09-08T09:45:15+07:00 ยศวัฒน์ โกฎยา Yotsawat_K@Gmail.com <p>งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาปัญหาและอุปสรรคในการบังคับใช้กฎหมายเกี่ยวกับการซื้อขายสินค้าหรือบริการบนทางเท้า เป็นการวิจัยเชิงคุณภาพ โดยศึกษาจากเอกสารแนวคิด และทฤษฎี และมาตรการทางกฎหมายทั้งของต่างประเทศและของประเทศไทย แล้วนำข้อมูลที่เกี่ยวข้องมาวิเคราะห์เพื่อเป็นแนวทางในการแก้ไขเพิ่มเติมกฎหมายให้มีคุณภาพต่อไป</p> <p>&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp; จากการศึกษาพบว่า ปัญหาและอุปสรรคในการบังคับใช้กฎหมายเกี่ยวกับการซื้อขายสินค้าหรือบริการบนทางเท้าเกิดจากการที่ ผู้ทำการซื้อขายสินค้าหรือบริการบนทางเท้า ได้กระทำผิดกฎหมายโดยการเข้าไปประกอบการค้าโดยไม่ได้รับอนุญาตจากเจ้าพนักงานท้องถิ่น ซึ่งถือเป็นการละเมิดสิทธิประโยชน์ของประชาชนในการใช้ทางเท้าในการสัญจรไปมา ถึงแม้เจ้าพนักงานท้องถิ่นจะดำเนินคดีตามกฎหมาย ก็ยังไม่สามารถทำให้ผู้ประกอบการเกรงกลัวแต่อย่างใด จะมีการกระทำความผิดดัดซ้ำขึ้นอีก จึงควรต้องมีการแก้ไขเพิ่มเติม พระราชบัญญัติการจราจรทางบก พ.ศ. 2522 มาตรา 109 วรรคสอง และมาตรา 110 วรรคสอง และแก้ไขเพิ่มเติม พระราชบัญญัติรักษาความสะอาดและความเป็นระเบียบเรียบร้อยของบ้านเมือง พ.ศ.2535&nbsp; มาตรา 20 วรรคสาม และ มาตรา 21 วรรคสอง โดยเพิ่มเติมข้อความต่อไปนี้ “การกระทำความผิดตามวรรคแรก ถ้าเป็นการกระทำความผิดซ้ำ ให้เพิ่มโทษกึ่งหนึ่งของอัตราโทษที่ได้รับจากการกระทำความผิดในครั้งก่อน”</p> 2024-06-08T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 https://so17.tci-thaijo.org/index.php/palsiuj/article/view/568 ปัญหาการจ้างแรงงานต่างด้าวที่ไม่ถูกต้องตามกฎหมายในประเทศไทย 2024-09-08T09:56:33+07:00 สมบูรณ์ จันมาธิกรกุล SomboonChan12@hotmail.com <p>งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษา ปัญหาการจ้างแรงงานต่างด้าวที่ไม่ถูกต้องตามกฎหมายในประเทศไทย ซึ่งพิจารณาจาก (1) ปัญหาทางสังคมความเป็นอยู่ (2 ปัญหาด้านสาธารณสุข และ (3) ปัญหาด้านความมั่นคงของประเทศ การศึกษาวิจัยนี้เป็นเชิงคุณภาพ โดยศึกษาวิจัยจากเอกสาร ตัวบทกฎหมาย พระราชบัญญัติ กฎ ระเบียบ ประกาศ คำสั่ง เอกสารทางกฎหมาย ทำการวิเคราะห์เสนอแก้ไขกฎหมาย</p> <p>&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp; พบว่า ปัญหาการจ้างแรงงานที่ไม่ถูกต้องตามกฎหมายในประเทศไทย มีปัญหาดังนี้ (1) ปัญหาทางสังคมความเป็นอยู่ มีการแย่งงานกันเองระหว่างแรงงานต่างด้าว มีการลักทรัพย์ มีการทะเลาะวิวาทจากการดื่มสุรา ทำให้คนไทยบางส่วนเกิดความหวาดกลัว (2) ปัญหาทางด้านสาธารณสุข จากการจ้างแรงงานต่างด้าวผิดกฎหมายในประเทศไทยซึ่งแรงงานที่เข้ามาโดยผิดกฎหมาย จะไม่มีการตรวจสุขภาพ ได้เป็นพาหนะนำโรคใหม่ๆ เข้ามาในประเทศไทย (3) ปัญหาทางด้านความมั่นคง จากการที่มีแรงงานต่างด้าวเข้ามาทำงานในประเทศไทยโดยไม่ถูกต้องตามกฎหมายจะ กระจัดกระจายตามพื้นที่ต่างๆ ทั่วประเทศ เกิดปัญหาในการกำกับดูแล ดังนั้นจึงควรแก้ไข พระราชกำหนดการบริหารจัดการการทำงานของคนต่างด้าว (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2561 มาตรา 29/1 ให้มีคณะกรรมการนโยบายการบริหารจัดการการทำงานของคนต่างด้าว ประจำจังหวัด ซึ่งประกอบด้วย ผู้ว่าราชการจังหวัด นายอำเภอ ปลัดอำเภอ แรงงานจังหวัด ผู้กำกับการตำรวจ สรรพากร กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน นายแพทย์ประจำโรงพยาบาล เป็นกรรมการโดยตำแหน่ง และผู้ทรงคุณวุฒิ ซึ่งแต่งตั้งจากผู้มีความรู้หรือประสบการณ์ด้านแรงงานฯ เป็นกรรมการ และผู้อำนวยการสำนักบริหารแรงงานต่างด้าวประจำจังหวัดเป็นเลขานุการ มาตรา 30/1 คณะกรรมการฯ มีอำนาจหน้าที่กำหนดนโยบายและกำกับการบริหารจัดการการทำงานของคนต่างด้าวดังต่อไปนี้ (1) กำหนดนโยบายการบริหารจัดการการทำงานของคนต่างด้าว (2) กำหนดนโยบายพิจารณารับสมัครคัดเลือกแรงงานต่างด้าว จากความรู้ ความสามารถ (3) จัดอบรมความรู้ให้แก่แรงงานต่างด้าวเกี่ยวกับกฎหมาย จารีตประเพณีแห่งท้องถิ่น (4) ปฏิบัติการอื่นใดตามที่กฎหมาย</p> 2024-06-08T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024