https://so17.tci-thaijo.org/index.php/palsiuj/issue/feed วารสารรัฐประศาสนศาสตร์และนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยชินวัตร 2025-08-30T15:16:17+07:00 รศ.ดร.รัฐบุรุษ คุ้มทรัพย์ ratthaburut.k@siu.ac.th Open Journal Systems <p><strong>วารสารรัฐประศาสนศาสตร์และนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยชินวัตร</strong></p> <p><strong><span class="Y2IQFc" lang="en">Journal of Public Administration and Law Shinawatra University </span></strong></p> <p><strong style="font-size: 0.875rem; -webkit-text-size-adjust: 100%;"><span class="Y2IQFc" lang="en"><strong>ISSN: </strong></span></strong><span class="Y2IQFc" lang="en">3056-9257 (ออนไลน์)</span></p> <p> วารสารรัฐประศาสนศาสตร์และนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยชินวัตรเป็นสื่อกลางการเผยแพร่ผลงานวิจัย บทความวิชาการ พัฒนาทางสาขาวิชารัฐประศาสนศาสตร์และนิติศาสตร์ ตลอดจนถึง สาขามนุษย์ศาสตร์ และสังคมศาสตร์ เป็นการบูรณาการนโยบายทางการศึกษา การเรียนการสอนและบริการวิชาการแก่ชุมชน โดยรับตีพิมพ์บทความวิจัย และบทความวิชาการ โดยที่บทความดังกล่าวจะต้องไม่เคยเสนอ หรือกำลังเสนอตีพิมพ์ในวารสารวิชาการใดมาก่อน ผลงานที่ได้รับการพิจารณาตีพิมพ์ในวารสารฯ อาจถูกดัดแปลงแก้ไขรูปแบบ และสำนวนตามที่เห็นสมควร ผู้ประสงค์จะนำข้อความใด ๆ ไปพิมพ์เผยแพร่ต่อไป ต้องได้รับอนุญาตจากผู้เขียนตามกฎหมายลิขสิทธิ์</p> https://so17.tci-thaijo.org/index.php/palsiuj/article/view/1369 แนวทางการแก้ไขปัญหาหาบเร่แผงลอยกรณีศึกษา : การกระทำผิดบนทางเท้าของเขตบางแค กรุงเทพมหานคร 2025-08-28T16:42:03+07:00 สิทธิ์พิพัฒน์ ชุมช่วย sakdas@siamtechno.ac.th ศักดา ศิลปาภิสันทน์ sakdas@siamtechno.ac.th <p>&nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; การศึกษาครั้งนี้จึงมีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาระดับปัญหาหาบเร่แผงลอยกรณีศึกษา: การกระทำผิดบนทางเท้าของเขตบางแคกรุงเทพมหานคร 2) เปรียบเทียบระดับปัญหาการหาบเร่แผงลอยกรณีศึกษา: การกระทำผิดบนทางเท้า ของเขตบางแค กรุงเทพมหานคร จำแนกตามเพศและประสบการณ์การทำงาน 3) เสนอแนะแนวทางการแก้ไขปัญหาหาบเร่แผงลอยกรณีศึกษา: การกระทำผิดบนทางเท้าของเขตบางแค กรุงเทพมหานคร การศึกษาวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยแบบผสมผสาน&nbsp; เก็บรวบรวมข้อมูลด้วยแบบสอบถาม&nbsp; และแบบสัมภาษณ์ ตัวอย่างซึ่งได้มาจากการสุ่มแบบง่ายจากเจ้าหน้าที่ สำนักงานเขตบางแค กรุงเทพมหานคร จำนวน&nbsp; 270&nbsp; คน</p> <p>&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp; ผลการศึกษาพบว่า 1) ปัญหาหาบเร่แผงลอยกรณีศึกษา: การกระทำผิดบนทางเท้าของเขตบางแคกรุงเทพมหานคร โดยรวมอยู่ในระดับปานกลาง เมื่อพิจารณาเป็นรายด้าน พบว่า ด้านทรัพยากรนโยบาย มีค่าเฉลี่ยสูงสุด รองลงมา คือ ด้านสมรรถนะของหน่วยปฏิบัติงาน&nbsp; ด้านการสื่อสารระหว่างองค์กรและกิจกรรมการเสริมแรง&nbsp; และด้านการมีส่วนของประชาชนมีค่าเฉลี่ยต่ำสุด&nbsp; 2) เจ้าหน้าที่สำนักงานเขตบางแคที่มีเพศต่างกันมีความคิดเห็นต่อปัญหาการหาบเร่แผงลอยกรณีศึกษา: การกระทำผิดบนทางเท้า ของเขตบางแค กรุงเทพมหานคร ไม่แตกต่างกัน และเจ้าหน้าที่สำนักงานเขตบางแคที่มีประสบการณ์การทำงานต่างกัน มีความคิดเห็นต่อปัญหาการหาบเร่แผงลอยกรณีศึกษา: การกระทำผิดบนทางเท้า ของเขตบางแค กรุงเทพมหานคร แตกต่างกัน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05&nbsp; 3) เสนอแนะแนวทางการแก้ไขปัญหาหาบเร่แผงลอยกรณีศึกษา: การกระทำผิดบนทางเท้าของเขตบางแค กรุงเทพมหานคร พบว่า ขาดบุคลากรผู้เชี่ยวชาญด้านนิติกรณ์ ผู้ค้าไม่ให้ความร่วมมือ จัดให้มีการอบรมให้ความรู้แก่เจ้าหน้าที่เพิ่มขึ้นเพื่อนำไปประชาสัมพันธ์และทำความเข้าใจกับประชาชน&nbsp; การนำนโยบายไปปฏิบัติอาจจะต้องมีการปรับให้เหมาะสมและมีความยืดหยุ่นตามบริบทของสภาพเศรษฐกิจและสังคม</p> 2025-06-05T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 https://so17.tci-thaijo.org/index.php/palsiuj/article/view/1374 ความสัมพันธ์ของการบริหารงานวิชาการกับคุณภาพผู้เรียนของบุคลากรทางการศึกษา จังหวัดนครปฐม 2025-08-30T13:46:53+07:00 ธนัชกัญ ใช้เจริญ thanadyun@mcu.ac.th ถนัด ยันต์ทอง thanadyun@mcu.ac.th <p>การวิจัยครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาระดับการบริหารวิชาการ 2) ศึกษาระดับคุณภาพผู้เรียนเรียน 3)ศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างการบริหารงานวิชาการกับคุณภาพผู้เรียนของบุคลากรทางการศึกษา จังหวัดนครปฐม กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ใขการศึกษาครั้งนี้ คือบุคลากรทางการศึกษาการ จำนวน 385 คน เครื่องมือที่ใช้คือแบบสอบถาม การวิเคราะห์ข้อมูล การหาค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และหาความสัมพันธ์โดยใช่ค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์แบบเพียร์สัน ผลการวิจัยพบว่า 1) การบริหารวิชาการภาพรวมอยู่ในระดับปานกลาง เมื่อจำแนกเป็นรายด้าน พบว่า อันดับที่ 1 คือ ด้านการพัฒนาหลักสูตรสถานศึกษา รองลงมา คือ ด้านการวัดผลประเมินผลและเทียบโอนผลการเรียน และอันดับสุดท้ายคือ ด้านการพัฒนาระบบการประกันคุณภาพภายในสถานศึกษา 2) คุณภาพผู้เรียนอยู่ในระดับมาก เมื่อพิจารณาเป็นรายข้อพบว่า อันดับที่ 1 คือด้านผู้เรียนมีสุขภาวะที่ดีและมี สุนทรียภาพ รองลงมา คือ ด้านผู้เรียนมีคุณธรรม จริยธรรมและ ค่านิยมที่พึงประสงค์ และอันดับสุดท้ายคือด้านผู้เรียนมีความสามารถในการคิดอย่าง เป็นระบบ คิดสร้างสรรค์ ตัดสินใจแก้ปัญหาได้อย่างมีสติ สมเหตุสมผล&nbsp; 3) ความสัมพันธ์ระหว่างการบริหารงานวิชาการกับคุณภาพผู้เรียนของบุคลากรทางการศึกษา จังหวัดนครปฐมโดยภาพรวม มีค่าความสัมพันธ์ทางบวกอยู่ในเกณฑ์ระดับปานกลาง อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.01</p> 2025-07-04T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 https://so17.tci-thaijo.org/index.php/palsiuj/article/view/1375 รูปแบบภาวะผู้นำทางวิชาการของผู้บริหารสถานศึกษาขนาดเล็ก สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาในจังหวัดสกลนคร 2025-08-30T13:55:41+07:00 ปราการ ช่วยรักษา prakar.chwy.raksa@gmail.com เชาวลิต เหมะธุลิน prakar.chwy.raksa@gmail.com ไสว กันนุลา prakar.chwy.raksa@gmail.com <p>รูปแบบภาวะผู้นำทางวิชาการของผู้บริหารสถานศึกษาขนาดเล็ก สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาในจังหวัดสกลนครมีวัตถุประสงค์การวิจัย ที่สำคัญ 3 ประการ คือ 1) เพื่อศึกษาสภาพภาวะผู้นำทางวิชาการของผู้บริหารสถานศึกษาขนาดเล็ก สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาในจังหวัดสกลนคร 2) เพื่อพัฒนารูปแบบภาวะผู้นำทางวิชาการของผู้บริหารสถานศึกษาขนาดเล็ก สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาในจังหวัดสกลนคร3) เพื่อประเมินความเหมาะสม ความเป็นไปได้ของรูปแบบภาวะผู้นำทางวิชาการของผู้บริหารสถานศึกษาขนาดเล็ก สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาในจังหวัดสกลนคร</p> <p>&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp; กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการศึกษาวิจัย ประกอบด้วยคือ ผู้บริหารโรงเรียนขนาดเล็กสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสกลนคร เขต 3ปีการศึกษา 2559 จำนวน 160 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ แบบสอบถาม การสนทนากลุ่ม &nbsp;(Focus Group Discussion) จำนวน 9 คน และการประเมินความเหมาะสม และความเป็นไปได้โดยผู้เชี่ยวชาญและผู้ทรงคุณวุฒิ จำนวน 20 คน การหาคุณภาพของแบบสอบถามโดยการหาค่า IOC (Item Objective Congruence Index) เลือกเฉพาะข้อคำถามที่มีค่า IOC 0.50 ขึ้นไป และค่าความเชื่อมั่นโดยหาค่าสัมประสิทธิ์แอลฟา (alpha - coefficient) ของครอนบาค (Cronbach) ได้ค่าความเชื่อมั่น 0.97 สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล คือ ข้อมูลเชิงปริมาณ ได้แก่ ร้อยละ(Percentage) ค่าเฉลี่ย (Mean) และค่า เบี่ยงเบนมาตรฐาน (Standard Deviation) ส่วนข้อมูลเชิงคุณภาพใช้วิธีการวิเคราะห์เนื้อหา(Content Analysis) จากข้อเสนอแนะของผู้เชี่ยวชาญและผู้ทรงคุณวุฒิ โดยใช้วิธีการสรุปเป็นความเรียง</p> <p><strong>&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp; </strong>ผลการศึกษาพบว่า 1. ผลการวิเคราะห์ระดับสภาพภาวะผู้นำทางวิชาการของผู้บริหารสถานศึกษาขนาดเล็ก สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาในจังหวัดสกลนครโดยรวม อยู่ในระดับมาก ด้านที่มีค่าเฉลี่ยสูงที่สุด ได้แก่ ด้านการส่งเสริมบรรยากาศทางวิชาการ รองลงไป คือ ด้านการวางแผน และด้านที่มีค่าเฉลี่ยน้อยที่สุด คือ ด้านการนิเทศ</p> <ol start="2"> <li class="show">รูปแบบภาวะผู้นำทางวิชาการของผู้บริหารสถานศึกษาขนาดเล็ก สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาในจังหวัดสกลนคร ประกอบด้วย 5 องค์ประกอบ คือ 1) หลักการของรูปแบบ 2) วัตถุประสงค์ของรูปแบบ 3) วิธีดำเนินงานของรูปแบบ 4) แนวการประเมินรูปแบบ และ5) ผลที่ได้จากการใช้รูปแบบ</li> </ol> <p>&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp; 3.ผลการวิเคราะห์ความคิดเห็นของผู้เชี่ยวชาญและผู้ทรงคุณวุฒิในการประเมินความเหมาะสม ความเป็นไปได้ของรูปแบบภาวะผู้นำทางวิชาการของผู้บริหารสถานศึกษาขนาดเล็ก สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาในจังหวัดสกลนคร พบว่า ผู้ประเมินมีความคิดเห็นต่อรูปแบบภาวะผู้นำทางวิชาการของผู้บริหารสถานศึกษาขนาดเล็ก สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาในจังหวัดสกลนครโดยรวมอยู่ในระดับมากที่สุด เมื่อพิจารณาเป็นรายด้านพบว่า ทุกด้านอยู่ในระดับมากที่สุด</p> 2025-07-21T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 https://so17.tci-thaijo.org/index.php/palsiuj/article/view/1376 ความสัมพันธ์ของภาวะผู้นำผู้บริหารกับจิตอาสาของบุคลากรทางการศึกษาสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษานครปฐม เขต 1 2025-08-30T14:52:17+07:00 พรทิพย์ ตั้งเพียร ntawan@hotmail.com ถนัด ยันต์ทอง ntawan@hotmail.com <p>การวิจัยครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาระดับลักษณะภาวะผู้นำของบุคลากรทางการศึกษา 2) ศึกษาระดับจิตอาสาของบุคลากรทางการศึกษา และ 3) ศึกษาความสัมพันธ์ของภาวะผู้นำผู้บริหารกับจิตอาสาของบุคลากรทางการศึกษาสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษานครปฐม เขต 1 กลุ่มตัวอย่างที่ในการวิจัยครั้งนี้คือ บุคากรทางการศึกษา จำนวน 385 คน เครื่องมือที่ใช้คือ&nbsp; แบบสอบถาม สถิติที่ใช้คือ&nbsp; ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการวิเคราะห์ ค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์แบบเพียร์สัน</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า 1) ระดับภาวะผู้นำผู้บริหาร โดยภาพรวมนั้นอยู่ในระดับมากที่สุด เมื่อพิจารณาเป็นรายด้าน พบอันดับที่ 1 คือผู้นำแบบประชาธิปไตย รองลงมา คือผู้นำแบบเสรีนิยม&nbsp; และอันดับสุดท้ายคือ ผู้นำแบบเผด็จการ ตามลำดับ 2) ระดับจิตอาสาโดยภาพรวมอยู่ในระดับมากที่สุด เมื่อพิจารณาเป็นรายด้าน พบว่า อันดับที่ 1 คือด้านการช่วยเหลือผู้อื่น รองลงมาคือด้านความมุ่งมั่นพัฒนาและอันดับสุดท้ายคือ ด้านการเสียสละต่อสังคม ตามลำดับ 3) ความสัมพันธ์ระหว่างภาวะผู้นำผู้บริหารกับจิตอาสาของบุคลากรทางการศึกษาสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษานครปฐม เขต 1โดยภาพรวม มีค่าความสัมพันธ์ทางบวกอยู่ในเกณฑ์ระดับปานกลาง อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.01</p> 2025-07-04T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 https://so17.tci-thaijo.org/index.php/palsiuj/article/view/1377 ปัจจัยเชิงสาเหตุการบริหารกับประสิทธิผลสถานศึกษาของบุคลากรทางการศึกษา สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาจังหวัดกำแพงเพชร 2025-08-30T14:59:43+07:00 ไพรสนธ์ บดีรัฐ ntawan@hotmail.com ถนัด ยันต์ทอง ntawan@hotmail.com <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ระดับศึกษาปัจจัยเชิงสาเหตุในการบริหาร 2) ศึกษาระดับประสิทธิผลการบริหาร และ 3) ศึกษาความสัมพันธ์ของปัจจัยเชิงสาเหตุการบริหารกับประสิทธิผลสถานศึกษาของบุคลากรทางการศึกษา สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาจังหวัดกำแพงเพชร ประชากรที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ครั้งนี้ คือ บุคลากรทางการศึกษา จำนวน 385 คน เครื่องมือที่ใช้คือแบบสอบถาม การวิเคราะห์ข้อมูล การหาค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และหาความสัมพันธ์โดยใช่ค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์แบบเพียร์สัน</p> <p>&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp; ผลการวิจัยพบว่า 1) ปัจจัยเชิงสาเหตุ ภาพรวมนั้นอยู่ในระดับมาก เมื่อพิจารณาเป็นรายด้าน พบอันดับที่ 1 คือด้านการบริหารจัดการ&nbsp; รองลงมา คือด้านบรรยากาศและวัฒนธรรมองค์การ ด้านภาวะผู้นำ ด้านการพัฒนาบุคลากร และอันดับสุดท้ายคือ ด้านหลักสูตรและการจัดการเรียนการสอน 2) ประสิทธิผลการบริหาร ภาพรวมอยู่ในระดับมาก&nbsp; เมื่อพิจารณาเป็นรายด้าน พบว่า อันดับที่ 1 คือด้านการบริหารวิชาการ&nbsp; รองลงมาคือด้านบริหารทั่วไป&nbsp; ด้านบริหารงบประมาณ และอันดับสุดท้ายคือ ด้านบริหารบุคคล 3) ความสัมพันธ์ระหว่างปัจจัยเชิงสาเหตุการบริหารกับประสิทธิผลสถานศึกษาของบุคลากรทางการศึกษา สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาจังหวัดกำแพงเพชรโดยภาพรวม มีค่าความสัมพันธ์ทางบวกอยู่ในเกณฑ์ระดับปานกลาง อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.01</p> 2025-07-04T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 https://so17.tci-thaijo.org/index.php/palsiuj/article/view/1379 ความสัมพันธ์ของปัจจัยการส่งเสริมการบริหารกับการจัดการศึกษาแบบมีส่วนร่วมของบุคลากร ทางการศึกษา จังหวัดสุพรรณบุรี 2025-08-30T15:08:24+07:00 สาวิตรี ม่วงพรวน sopeewiwatchankit@gmail.com โสภี วิวัฒน์ชาญกิจ sopeewiwatchankit@gmail.com <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาระดับปัจจัยการส่งเสริมการบริหาร2) ศึกษาศึกษาระดับการมีส่วนร่วมในการบริหารและ 3) ศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างปัจจัยการส่งเสริมการบริหารกับการจัดการศึกษาแบบมีส่วนร่วมของบุคลากรทางการศึกษา จังหวัดสุพรรณบุรี กลุ่มตัวอย่างครั้งนี้ คือ บุคลากรทางการศึกษา จำนวน 385 คน เครื่องมือที่ใช้คือแบบสอบถาม การวิเคราะห์ข้อมูล การหาค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และหาความสัมพันธ์โดยใช่ค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์แบบเพียร์สัน</p> <p>&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp; ผลการวิจัยพบว่า 1) ปัจจัยการส่งเสริมการบริหารโดยภาพรวมนั้นอยู่ในระดับมาก&nbsp; เมื่อพิจารณาตามรายด้าน พบอันดับที่ 1 คือ ด้านปัจจัยเกี่ยวกับโรงเรียน รองลงมา คือด้านปัจจัยเกี่ยวกับชุมชนและอันดับสุดท้ายคือ ด้านปัจจัยเกี่ยวกับสภาพแวดล้อม 2) การมีส่วนร่วมในการบริหารโดย ภาพรวมอยู่ในระดับมาก เมื่อพิจารณาตามรายด้าน พบว่า อันดับที่ 1 คือด้านการบริหารวิชาการ รองลงมาคือด้านบริหารทั่วไป ด้านบริหารงบประมาณ และอันดับสุดท้ายคือ ด้านบริหารบุคคล 3) ความสัมพันธ์ระหว่างปัจจัยการส่งเสริมการบริหารกับการจัดการศึกษาแบบมีส่วนร่วมของบุคลากรทางการศึกษา จังหวัดสุพรรณบุรี โดยภาพรวม มีค่าความสัมพันธ์ทางบวกอยู่ในเกณฑ์ระดับปานกลาง อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.01</p> 2025-08-05T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 https://so17.tci-thaijo.org/index.php/palsiuj/article/view/1380 ชายผ้าเหลืองหลากสี : การนำเสนอภาพลักษณ์ของพระ-เณรที่มีความหลากหลายทางเพศ ในโซเชียลมีเดีย 2025-08-30T15:16:17+07:00 พระก้องเกียรติ แซ่ลิ้ม kongsakonnakon@gmail.com <p class="ENAbstract" style="margin: 0cm; text-align: justify; text-justify: inter-cluster;"><span lang="TH" style="font-size: 14.0pt; font-weight: normal;">บทความวิชาการนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาการนำเสนอภาพลักษณ์ของพระภิกษุและสามเณรที่มีความหลากหลายทางเพศในโซเชียลมีเดียร่วมสมัย โดยมุ่งวิเคราะห์บทบาทและผลกระทบทางสังคมที่เกิดขึ้นจากปรากฏการณ์ดังกล่าว ในบริบทสังคมไทย พระสงฆ์ถูกยกย่องเป็นแบบอย่างทางจิตวิญญาณและเป็นศูนย์กลางของวัฒนธรรมชุมชน การแสดงออกซึ่งอัตลักษณ์ทางเพศที่หลากหลายของพระ-เณรผ่านโซเชียลมีเดียจึงเป็นปรากฏการณ์ที่น่าสนใจ ทั้งในแง่การเปิดพื้นที่แสดงตัวตนและการท้าทายกรอบคิดดั้งเดิมของสถาบันสงฆ์ แม้ปรากฏการณ์นี้จะก่อให้เกิดข้อถกเถียงในสังคม แต่ก็สะท้อนถึงความจำเป็นต้องทำความเข้าใจพลวัตทางสังคมที่เปลี่ยนแปลงไป การศึกษานี้ชี้ให้เห็นว่าประเด็นความหลากหลายทางเพศในวงการสงฆ์เป็นเรื่องที่ต้องพิจารณาอย่างรอบด้าน โดยต้องคำนึงถึงหลักธรรมคำสอนทางพระพุทธศาสนาไปพร้อมกับค่านิยมสมัยใหม่ ทั้งนี้เพื่อสร้างสมดุลระหว่างการธำรงรักษาแก่นแท้ของสมณเพศกับการปรับตัวให้สอดคล้องกับยุคสมัย ที่สำคัญ พระสงฆ์จำเป็นต้องปรับพฤติกรรมการแสดงออกให้เหมาะสมทั้งตามหลักพระธรรมวินัยและบริบทสังคมปัจจุบัน เพื่อรักษาความน่าเชื่อถือของสถาบันสงฆ์และศรัทธาของพุทธศาสนิกชน โดยไม่สูญเสียเอกลักษณ์ทางเพศของแต่ละบุคคล</span></p> 2025-06-15T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025