วารสารรัฐประศาสนศาสตร์และนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยชินวัตร
https://so17.tci-thaijo.org/index.php/palsiuj
<p><strong>วารสารรัฐประศาสนศาสตร์และนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยชินวัตร</strong></p> <p><strong><span class="Y2IQFc" lang="en">Journal of Public Administration and Law Shinawatra University </span></strong></p> <p><strong style="font-size: 0.875rem; -webkit-text-size-adjust: 100%;"><span class="Y2IQFc" lang="en"><strong>ISSN: </strong></span></strong><span class="Y2IQFc" lang="en">3056-9257 (ออนไลน์)</span></p> <p> วารสารรัฐประศาสนศาสตร์และนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยชินวัตรเป็นสื่อกลางการเผยแพร่ผลงานวิจัย บทความวิชาการ พัฒนาทางสาขาวิชารัฐประศาสนศาสตร์และนิติศาสตร์ ตลอดจนถึง สาขามนุษย์ศาสตร์ และสังคมศาสตร์ เป็นการบูรณาการนโยบายทางการศึกษา การเรียนการสอนและบริการวิชาการแก่ชุมชน โดยรับตีพิมพ์บทความวิจัย และบทความวิชาการ โดยที่บทความดังกล่าวจะต้องไม่เคยเสนอ หรือกำลังเสนอตีพิมพ์ในวารสารวิชาการใดมาก่อน ผลงานที่ได้รับการพิจารณาตีพิมพ์ในวารสารฯ อาจถูกดัดแปลงแก้ไขรูปแบบ และสำนวนตามที่เห็นสมควร ผู้ประสงค์จะนำข้อความใด ๆ ไปพิมพ์เผยแพร่ต่อไป ต้องได้รับอนุญาตจากผู้เขียนตามกฎหมายลิขสิทธิ์</p>
คณะรัฐประศาสนศาสตร์และนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยชินวัตร
th-TH
วารสารรัฐประศาสนศาสตร์และนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยชินวัตร
3056-9257
-
แนวทางการจัดการและแก้ไขปัญหาทางเท้าเพื่อลดความขัดแย้งในการใช้ทางเท้าในเขต บางพลัด กรุงเทพมหานคร
https://so17.tci-thaijo.org/index.php/palsiuj/article/view/1626
<p>นโยบายการบริหารจัดการทางเท้าให้จัดระเบียบทางเท้าให้ดูสะอาดและปลอดภัยสำหรับประชาชนที่เดินทางท้าว ปัญหาการบริหารจัดการทางเท้า พบว่า การปฏิบัติผิดกฎหมายของร้านค้าต่าง ๆ ริมทางเท้าจะพยายามวางสินค้าของตนล้ำเข้าไปสู่ทางเท้า เพื่อเสนอขายสินค้าและกีดกันผู้ที่วางขายสินค้าบนทางเท้า ทำให้เกิดความขัดแย้งกับเจ้าหน้าที่และประชาชนผู้สัญจรไปมา อีกปัญหาของการจัดการบริหาร เจ้าหน้าที่ฝ่ายโยธามีทรัพยากรบุคคลในการแก้ไขอย่างจำกัด และปัญหาด้านการทำให้สังคมทั่วไปมองเจ้าหน้าที่ไปในทางที่ไม่ดี เช่น การกวดขันผู้วางขายสินค้าบนทางเท้าจะถูกมองไปในแง่รังแกผู้ที่มีฐานะยากจน หรือโหดร้ายทารุณ รังแก ประชาชนผู้ทำมาหากินในทางที่สุจริต การศึกษาครั้งนี้จึงมีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาการบริหารจัดการความขัดแย้งบนทางเท้าในเขตบางพลัด กรุงเทพมหานคร 2) เสนอแนวทางการแก้ไขปัญหาเพื่อลดความขัดแย้งการใช้ทางเท้าในเขตบางพลัด กรุงเทพมหานคร การศึกษาวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยแบบเชิงคุณภาพ เก็บรวบรวมข้อมูลด้วยแบบสัมภาษณ์ผู้ให้ข้อมูลสำคัญ ได้แก่ ผู้บริหารสำนักงานเขตบางพลัด เจ้าหน้าที่เทศกิจ ที่มีประสบการณ์ทำงานตั้งแต่ 5 ปีขึ้นไป ผู้ทำการค้า ประชาชนที่สัญจรไปมา รวมทั้งสิ้น 60 คน</p> <p>ผลการศึกษาพบว่า 1) การบริหารจัดการความขัดแย้งบนทางเท้า สำนักงานเขตบางพลัดต้องจัดระเบียบพื้นที่ให้ใช้สอยอย่างมีระเบียบ โดยมีการกำหนดพื้นที่สำหรับการค้าขายและการเดินให้ชัดเจนการสร้างความตระหนักรู้และการศึกษา เช่น จัดอบรมหรือสัมมนาเกี่ยวกับการใช้ทางเท้าอย่างมีระเบียบ รวมถึงการทำความเข้าใจถึงความสำคัญของการช่วยกันดูแลและใช้ทางเท้าอย่างถูกต้อง มีช่องทางให้ประชาชนสามารถเสนอความคิดเห็นหรือข้อกังวลเกี่ยวกับการใช้ทางเท้าให้กับหน่วยงานที่รับผิดชอบ มีสื่อโซเชียลมีเดียในการสื่อสารเกี่ยวกับการใช้ทางเท้า ติดตั้งป้ายประชาสัมพันธ์เพื่อเตือนผู้คนเกี่ยวกับการใช้ทางเท้าอย่างถูกต้อง เช่น ห้ามหยุดรถบนทางเท้า หรือให้อยู่ในกรอบที่ระบุ กฎหมายที่นำมาบังคับใช้เอื้อให้ประโยชน์กับผู้บริหาร ในส่วนของผู้ปฏิบัติทำให้ลงปฏิบัติได้ไม่เต็มที่อำนาจหน้าที่ การลงตรวจไม่สามารถทำตามกฎหมายได้ ผู้ปฏิบัติงานไม่มีอำนาจบังคับใช้ตามกฎหมายแต่มีหน้าที่กวดขัน เพื่อมิให้เกิดปัญหาหรือการกระทำผิดทางเท้าไม่ว่าจะเป็นการตั้งวางของบนทางเท้า หรือการขับขี่จักรยานยนต์บนทางเท้า 2) แนวทางการจัดการแก้ไขปัญหาทางเท้าเพื่อลดความขัดแย้งในการใช้ทางเท้าในเขตบางพลัด กรุงเทพมหานคร พบว่า การแก้ไขปัญหาเพื่อลดความขัดแย้งในการใช้ทางเท้าสามารถดำเนินการได้หลากหลายแนวทาง โดยการปรับปรุงสภาพพื้นผิว ให้ทางเท้ามีพื้นผิวเรียบและปลอดภัย ไม่มีสิ่งกีดขวาง เช่น รอยแตกร้าวหรือสิ่งของที่วางกีดขวาง การเพิ่มพื้นที่สีเขียว เช่น การจัดตั้งสวนเล็ก ๆ ริมทางเท้า หรือเพิ่มต้นไม้เพื่อทำให้ผู้ใช้งานรู้สึกสบายและปลอดภัยมากขึ้น การควบคุมการจอดรถ</p> <p> การวิจัยเกี่ยวกับแนวทางการจัดการแก้ไขปัญหาทางเท้าเพื่อลดความขัดแย้งในการใช้ทางเท้าในเขตบางพลัด กรุงเทพมหานครได้สร้างองค์ความรู้ใหม่ที่สำคัญในการเข้าใจการบริหารจัดการความขัดแย้งบนทางเท้า รวมถึงแนวทางการแก้ไขปัญหาเพื่อลดความขัดแย้งการใช้ทางเท้า ซึ่งได้แก่ ปัจจัยที่ส่งผลต่อการกระทำผิด ผลกระทบต่อสาธารณะและความปลอดภัย การบังคับใช้กฎหมายและการบริหารจัดการ แนวทางการแก้ไขปัญหาที่มุ่งเน้นการร่วมมือกันระหว่างภาครัฐและประชาชน จากการวิจัยนี้สามารถนำไปใช้ในการพัฒนาปรับปรุงพัฒนาแผนกลยุทธ์เกี่ยวข้องกับการบริหารจัดการความขัดแย้งบนทางเท้าให้มีประสิทธิภาพ</p>
ณัฐธวรท์ อุปธิ
ศักดา ศิลปาภิสันทน์
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารรัฐประศาสนศาสตร์และนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยชินวัตร
2025-12-20
2025-12-20
2 3
1
11
-
ความสัมพันธ์ของภาวะผู้นำการเปลี่ยนแปลงกับการทำงานเป็นทีมของบุคลากรทางการศึกษา สังกัดกรุงเทพมหานคร
https://so17.tci-thaijo.org/index.php/palsiuj/article/view/1634
<p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1)ศึกษาระดับภาวะผู้นำการเปลี่ยนแปลง 2) ศึกษาระดับการทำงานเป็นทีมและ 3)ศึกษาความสัมพันธ์ของภาวะผู้นำการเปลี่ยนแปลงกับการทำงานเป็นทีมของบุคลากรทางการศึกษา สังกัดกรุงเทพมหานคร กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ คือ บุคลากรทางการศึกษา จำนวน 385 คน เครื่องมือที่ใช้คือแบบสอบถามการสถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลคือ แจกแจงความถี่ การหาค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการวิเคราะห์ค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์แบบเพียร์สัน</p> <p>ผลการศึกษาพบว่า 1) ภาวะผู้นำการเปลี่ยนแปลง โดยภาพรวม อยู่ในระดับมาก เมื่อพิจารณาเป็นรายด้าน พบว่า อันดับที่ 1 คือ ด้านการกระตุ้นการใช้ปัญญา<strong> </strong>รองลงมา คือด้านการสร้างแรงบันดาลใจ และอันดับสุดท้ายคือ ด้านการมีอิทธิพลอย่างมีอุดมการณ์หรือการสร้างบารมี 2) การทำงานเป็นทีมโดยภาพรวม อยู่ในระดับมาก เมื่อพิจารณาเป็นรายข้อพบว่า อันดับที่ 1 คือด้านการติดต่อสื่อสาร รองลงมา คือด้านการปรับปรุงอย่างต่อเนื่อง และอันดับสุดท้ายคือด้านการประสานงาน 3) ความสัมพันธ์ของภาวะผู้นำการเปลี่ยนแปลงกับการทำงานเป็นทีม พบว่ามีความสัมพันธ์ในทิศทางเดียวกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.000 และสามารถอธิบายความผันแปรของภาวะผู้นำการเปลี่ยนแปลงกับการทำงานเป็นทีม อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.01 ได้ร้อยละ 86.60 (R<sup>2</sup>=0.866) และผลการทดสอบสมมติฐานภาวะผู้นำการเปลี่ยนแปลงกับการทำงานเป็นทีม และพบว่า มีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.01</p>
ฑิฆัมพร เผือกแสงทิพย์
ในตะวัน กำหอม
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารรัฐประศาสนศาสตร์และนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยชินวัตร
2025-12-20
2025-12-20
2 3
12
24
-
ปัจจัยทางการบริหารด้านทรัพยากรการเรียนการสอนกับประสิทธิผลของบุคลากรทางการศึกษาศูนยก์ารศึกษาพิเศษภาคตะวันออกเฉียงเหนือ
https://so17.tci-thaijo.org/index.php/palsiuj/article/view/1635
<p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1)ศึกษาระดับปัจจัยทางการบริหารด้านทรัพยากรการเรียนการสอน 2) ศึกษาระดับประสิทธิผล และ 3)ศึกษาความสัมพันธ์ของปัจจัยทางการบริหารด้านทรัพยากรการเรียนการสอนกับประสิทธิผลของบุคลากรทางการศึกษาศูนยก์ารศึกษาพิเศษภาคตะวันออกเฉียงเหนือ กลุ่มตัวอย่าง ที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ คือ บุคลากรทางการศึกษา จำนวน 385 คน เครื่องมือที่ใช้คือแบบสอบถามการสถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล คือ แจกแจงความถี่ การหาค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการวิเคราะห์ค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์แบบเพียร์สัน</p> <p>ผลการศึกษาพบว่า 1) ปัจจัยทางการบริหารด้านทรัพยากรการเรียนการสอน โดยรวมอยู่ในระดับมาก เมื่อจำแนกเป็นรายด้านพบว่าอันดับที่ 1 คือด้านทรัพยากรเพื่อการเรียนการสอน รองลงมาคือ ด้านหลักสูตรการเรียนการสอน และอันดับสุดท้ายคือ ด้านเทคโนโลยี ตามลำดับ 2) ประสิทธิผลโดยรวม อยู่ในระดับมาก เมื่อจำแนกเป็นรายด้านอยู่ในระดับมากทุกด้านพบว่า ด้านที่อยู่ในระดับมาก อันดับที่ 1 คือด้านความสามารถในการพัฒนานักเรียนให้มีทัศนคติทางบวก รองลงมา คือด้านความสามารถในการผลิตนักเรียนให้มีผลสมัฤทธิ์ทางการเรียนสูง ด้านความสามารถในการปรับเปลี่ยนและพัฒนาโรงเรียน และอันดับสุดท้าย คือ ด้านความสามารถในการกัปัญหาภายในโรงเรียน ตามลำดับ 3) ผลการวิเคราะห์ความสัมพันธ์ระหว่างปัจจัยทางการบริหารด้านทรัพยากรการเรียนการสอนกับประสิทธิผลของบุคลากรทางการศึกษาศูนยก์ารศึกษาพิเศษภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ด้วยวิธีถดถอยพหุคูณ มีค่าเท่ากับ 0.900 และสามารถอธิบายความผันแปรของปัจจัยทางการบริหารด้านทรัพยากรการเรียนการสอนกับประสิทธิผลอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.01 ได้ร้อยละ 91.10 (R<sup>2</sup>=0.911)และผลการทดสอบสมมติฐานปัจจัยทางการบริหารด้านทรัพยากรการเรียนการสอนกับประสิทธิผล และพบว่า มีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.01</p>
นวมินทร์ กินรี
ในตะวัน กำหอม
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารรัฐประศาสนศาสตร์และนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยชินวัตร
2025-12-20
2025-12-20
2 3
25
38
-
ความสัมพันธ์ของสมรรถนะเชิงบริหารกับประสิทธิผลการบริหารสถานศึกษาของบุคคลากรทางการศึกษา สังกัดกรุงเทพมหานคร
https://so17.tci-thaijo.org/index.php/palsiuj/article/view/1637
<p>การศึกษาครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาระดับสมรรถนะเชิงบริหาร 2) ศึกษาระดับประสิทธิผลและ 3) ศึกษาความสัมพันธ์ของสมรรถนะเชิงบริหารกับประสิทธิผลการบริหารสถานศึกษาของบุคคลากรทางการศึกษา สังกัดกรุงเทพมหานคร กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ คือ บุคลาก ทางการศึกษา จำนวน 385 คน เครื่องมือที่ใช้คือแบบสอบถามการสถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลคือ แจกแจงความถี่ การหาค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการวิเคราะห์ ค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์แบบเพียร์สัน</p> <p>ผลการศึกษาพบว่า 1) สมรรถนะเชิงบริหาร โดยภาพรวมอยู่ในระดับมาก เมื่อพิจารณาตามรายด้าน พบอันดับที่ 1 คือ ด้านการพัฒนาตนเอว รองลงมา คือด้านการมุ่งผลสัมฤทธิ์ และอันดับสุดท้าย ด้านคุณธรรมจริยธรรมและจรรยาบรรณวิชาชีพ 2) ประสิทธิผลการบริหาร ภาพรวมอยู่ในระดับมาก เมื่อพิจารณาตามรายด้าน พบว่า อันดับที่ 1 คือด้านความสามารถในการแก้ปัญหาภายในโรงเรียน รองลงมาคือด้านความสามารถในการผลิตนักเรียนที่มีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนสูง และอันดับสุดท้ายคือ ด้านความสามารถในการพัฒนานักเรียนให้มีทัศนคติทางบวก และ 3) ศึกษาความสัมพันธ์ของสมรรถนะเชิงบริหารกับประสิทธิผลการบริหารสถานศึกษาพบว่ามีความสัมพันธ์ในทิศทางเดียวกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.000 และสามารถอธิบายความผันแปรของสมรรถนะเชิงบริหารกับประสิทธิผลการบริหารสถานศึกษา อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.01 ได้ร้อยละ 88.80 (R<sup>2</sup>=0.888) และผลการทดสอบสมมติฐานศึกษาสมรรถนะเชิงบริหารกับประสิทธิผลการบริหารสถานศึกษาและพบว่า มีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.01</p>
ศศิประภา สิงห์ศิริ
ในตะวัน กำหอม
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารรัฐประศาสนศาสตร์และนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยชินวัตร
2025-12-20
2025-12-20
2 3
39
52
-
แนวทางการพัฒนาสมรรถนะบุคลากรตามหลักองค์การที่ดี กรณีศึกษา: สำนักสวัสดิภาพ การขนส่งทางบก กรมการขนส่งทางบก กระทรวงคมนาคม
https://so17.tci-thaijo.org/index.php/palsiuj/article/view/1638
<p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาระดับสมรรถนะบุคลากรตามหลักองค์การที่ดีกรณีศึกษา: สำนักสวัสดิภาพการขนส่งทางบกกรมการขนส่งทางบก กระทรวงคมนาคม และ 2) เพื่อเสนอแนะแนวทางในการพัฒนาสมรรถนะบุคลากรตามหลักองค์การที่ดีกรณีศึกษา: สำนักสวัสดิภาพการขนส่งทางบกกรมการขนส่งทางบก กระทรวงคมนาคม เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย คือ แบบสอบถาม ซึ่งพบว่ามีค่าความเชื่อมั่น เท่ากับ 0.97 ประชากรที่ใช้ในการศึกษาครั้งนี้ ได้แก่ เจ้าหน้าของรัฐที่ปฏิบัติงานในสำนักสวัสดิภาพการขนส่งทางบกกรมการขนส่งทางบก กระทรวงคมนาคม จำนวน 78 คน และสถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ ได้แก่ ค่าความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย (Mean) ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน การทดสอบด้วย t-test และการทดสอบ One – Way ANOVA</p> <p> ผลการวิจัยพบว่า 1) สมรรถนะในการปฏิบัติงาน โดยภาพรวม อยู่ในระดับมากที่สุด <br>เมื่อพิจารณาเป็นรายด้าน พบว่า ด้านที่มีค่าเฉลี่ยสูงสุด ได้แก่ บุคลิกประจำตัวบุคคล อยู่ในระดับมากที่สุด รองลงมา คือ ทักษะ อยู่ในระดับมากที่สุด ทัศนคติค่านิยมและความคิดเห็นเกี่ยวกับภาพลักษณ์ของตนเอง อยู่ในระดับมากที่สุด ความรู้ อยู่ในระดับมากที่สุด และต่ำที่สุด คือ แรงจูงใจหรือแรงขับภายใน อยู่ในระดับมากที่สุด ตามลำดับ และ 2) สำนักสวัสดิภาพการขนส่งทางบก กรมการขนส่งทางบก กระทรวงคมนาคม ควรครอบคลุมทักษะที่จำเป็นต่อการปฏิบัติงานในด้านความปลอดภัยทางถนน มุ่งเน้นให้บุคลากรมีความเข้าใจที่ลึกซึ้ง ส่งเสริมให้บุคลากรมีทัศนคติที่ดีต่อการทำงาน มุ่งเน้นให้บุคลากรมีลักษณะนิสัยและคุณลักษณะที่เหมาะสมกับบทบาทหน้าที่ และตระหนักถึงความสำคัญของงาน เพื่อที่จะสามารถพัฒนาองค์กรให้มีประสิทธิภาพตามหลักองค์การที่ดี (Good Governance) ได้</p>
นพปภัทร จันทะนะ
ศักดา ศิลปาภิสันทน์
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารรัฐประศาสนศาสตร์และนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยชินวัตร
2025-12-20
2025-12-20
2 3
53
72
-
IMPLEMENTATION OF REPUBLIC ACT 9184 (GOVERNMENT PROCUREMENT REFORM ACT): PROCUREMENT OF GOODS, INFRASTRUCTURE PROJECTS, AND CONSULTING SERVICES IN A PHILIPPINE PUBLIC TERTIARY HOSPITAL
https://so17.tci-thaijo.org/index.php/palsiuj/article/view/1215
<p>This study assesses the implementation of Republic Act 9184, also known as the Government Procurement Reform Act, with a focus on the procurement of goods, infrastructure projects, and consulting services in a selected Department of Health (DOH) operated hospital in the Philippines. The research employs a quantitative descriptive-comparative design and gathers data from 100 purposively selected stakeholders, including BAC members, TWG members, the BAC Secretariat, end-users, and suppliers/contractors. Key aspects of the procurement process—such as advertisement, pre-bid conferences, bid submission, bid evaluation, post-qualification, and notice of award—are evaluated based on stakeholder perceptions. Results indicate that the procurement procedures are strictly enforced across all assessed dimensions. Further, statistical analysis reveals no significant differences in stakeholder assessments when grouped by age, stakeholder status, or years of service. The findings unfold a high level of compliance with RA 9184 in the studied institution, implying an effective implementation of transparent and accountable procurement practices. Recommendations include incorporating qualitative methods in future research to deepen insights into procurement challenges and perceptions.</p>
Jeremiah Pacer
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารรัฐประศาสนศาสตร์และนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยชินวัตร
2025-12-23
2025-12-23
2 3
73
88
-
การส่งเสริมทุนทางสังคมของผู้นำทางการเมืองตามหลักพุทธธรรม
https://so17.tci-thaijo.org/index.php/palsiuj/article/view/1627
<p>บทความวิชาการนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาและวิเคราะห์การส่งเสริมทุนทางสังคมของผู้นำทางการเมือง โดยยึดหลักสัปปุริสธรรมเป็นกรอบแนวคิดหลักในการประเมินและพัฒนาการบริหารจัดการทุนทั้งห้าประเภท ได้แก่ ทุนมนุษย์ ทุนทางสังคม ทุนกายภาพ ทุนธรรมชาติ และทุนการเงิน การศึกษานี้มุ่งเน้นให้เข้าใจบทบาทของผู้นำในการสร้างความเข้มแข็งของทุนทางสังคม ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญต่อความมั่นคงและความยั่งยืนของระบบการเมือง รวมถึงการพัฒนาความเชื่อมั่น ความร่วมมือ และการมีส่วนร่วมของประชาชน สิ่งสำคัญอีกประการคือเพื่อวิเคราะห์ปัญหาและอุปสรรคที่ผู้นำทางการเมืองต้องเผชิญ เช่น การขาดคุณธรรมและจริยธรรม การบริหารทรัพยากรไม่เหมาะสม การขาดความเข้าใจต่อชุมชนและผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย การศึกษานี้จึงมุ่งเน้นการชี้แนะแนวทางในการประยุกต์หลักธรรมเพื่อแก้ไขปัญหาและพัฒนาความสามารถของผู้นำ นอกจากนี้บทความยังมีวัตถุประสงค์เพื่อเสนอแนวทางและกลยุทธ์ในการใช้หลักธรรมให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อการบริหารจัดการทุนทางสังคมและทรัพยากรต่าง ๆ ของสังคม การวิจัยมุ่งให้ผู้นำสามารถตัดสินใจ วางนโยบาย และขับเคลื่อนกิจกรรมทางการเมืองอย่างมีประสิทธิภาพ โปร่งใส ยุติธรรม และสอดคล้องกับผลประโยชน์ของประชาชน การศึกษานี้ยังมุ่งสร้างองค์ความรู้เกี่ยวกับการประยุกต์หลักธรรมในบริบททางการเมือง เพื่อพัฒนาผู้นำที่มีคุณธรรม มีสมรรถนะครบด้าน และสามารถสร้างความยั่งยืนให้แก่สังคมและระบบการเมืองอย่างแท้จริง</p>
ภูวดิษฐ์ นันทสกุลสิทธิ์
ณปภัช พัชรกรโชติ
บรรณวัชร พลคำ
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารรัฐประศาสนศาสตร์และนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยชินวัตร
2025-12-20
2025-12-20
2 3
89
100
-
พุทธธรรมเพื่อการสื่อสารทางการเมืองสมัยใหม่
https://so17.tci-thaijo.org/index.php/palsiuj/article/view/1628
<p>บทความวิชาการนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาการประยุกต์พุทธธรรมในการสื่อสารทางการเมืองสมัยใหม่ โดยเน้นความหมายและองค์ประกอบของการสื่อสาร ลักษณะเฉพาะของการสื่อสารทางการเมืองสมัยใหม่ หลักพุทธธรรมเพื่อการสื่อสารที่ดี และแนวทางการบูรณาการหลักธรรมเข้ากับกระบวนการสื่อสารทางการเมือง การสื่อสารถือเป็นกระบวนการแลกเปลี่ยนข้อมูล ความคิด และความรู้สึกระหว่างผู้ส่งสารและผู้รับสาร โดยประกอบด้วยองค์ประกอบหลัก ได้แก่ ผู้ส่งสาร สารหรือข้อมูล ช่องทางการสื่อสาร และผู้รับสาร การสื่อสารทางการเมืองสมัยใหม่มีลักษณะเฉพาะคือ ความซับซ้อน การมีส่วนร่วมของประชาชน การใช้เทคโนโลยีสารสนเทศ และการสร้างความโปร่งใส บทความนี้ได้นำหลักกาลามสูตร 10 ข้อมาประยุกต์กับการสื่อสารทางการเมือง โดยผู้ส่งสารต้องพิจารณาความถูกต้องของข้อมูล ใช้เหตุผลสุจริต และควบคุมอารมณ์ สารต้องชัดเจน ครบถ้วน และไม่สร้างความเข้าใจผิด ช่องทางต้องเหมาะสมและตรวจสอบได้ ผู้รับสารต้องฟัง วิเคราะห์ และตีความด้วยวิจารณญาณ การบูรณาการหลักพุทธธรรมช่วยให้การสื่อสารลดความขัดแย้ง สร้างความน่าเชื่อถือ และเสริมสร้างคุณธรรม นอกจากนี้ การประยุกต์หลักกาลามสูตรยังสนับสนุนการสื่อสารที่มีประสิทธิภาพ รอบคอบ และยั่งยืน โดยประชาชนและนักการเมืองสามารถแลกเปลี่ยนข้อมูลความคิดเห็นและข้อเรียกร้องได้อย่างโปร่งใส ดังนั้น ผลลัพธ์ของบทความนี้ชี้ให้เห็นว่าการนำหลักพุทธธรรมมาประยุกต์ใช้ในการสื่อสารทางการเมืองสมัยใหม่เป็นแนวทางที่ส่งเสริมความโปร่งใส ความร่วมมือ และการมีส่วนร่วมของประชาชน ทำให้กระบวนการสื่อสารทางการเมืองมีคุณธรรมและสร้างสังคมที่มั่นคงและยั่งยืน</p>
ณปภัช พัชรกรโชติ
ภูวดิษฐ์ นันทสกุลสิทธิ์
บรรณวัชร พลคำ
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารรัฐประศาสนศาสตร์และนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยชินวัตร
2025-12-20
2025-12-20
2 3
101
113