การพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนรู้ เรื่องการบวกและการลบจำนวนนับไม่เกิน 100,000 สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 โดยใช้ UNO ศึกประลอง บวก ลบ
Main Article Content
บทคัดย่อ
การวิจัยในครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ 3 ประการได้แก่ 1) เพื่อพัฒนาแผนการจัดการเรียนรู้ร่วมกับ Uno ศึกประลอง บวก ลบ 2)เพื่อศึกษาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนรู้เรื่องการบวกและการลบจำนวนนับไม่เกิน 100,000 ของผู้เรียนเรียนที่ได้รับการสอนโดยใช้แผนการจัดการเรียนรู้ร่วมกับ Uno ศึกประลอง บวก ลบ 3) เพื่อศึกษาระดับความพึงพอใจที่ผู้เรียนที่มีต่อแผนการจัดการเรียนรู้ร่วมกับ Uno ศึกประลอง บวก ลบ กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการศึกษาค้นคว้าเป็นนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3/4 โรงเรียนเอนุบาลแพร่ ตำบลช่อแฮ อำเภอเมือง จังหวัดแพร่ ปีการศึกษา 2567 จำนวน 26 คน ซึ่งได้มาจากการสุ่มตัวอย่างแบบกลุ่ม เครื่องมือที่ใช้ในการรวบรวมข้อมูลได้แก่ 1)แผนการจัดการเรียนรู้ 2) แบบทดสอบวัดความรู้ก่อนเรียน (Pre-test) 3) แบบทดสอบวัดความรู้หลังเรียน (Post-test) และ 4) แบบสอบถามความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อแผนการจัดการเรียนรู้ร่วมกับ UNO ศึกประลอง บวก ลบ สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลได้แก่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน และ t-test
ผลการศึกษาพบว่า
- ผลการประเมินคุณภาพแผนการจัดการเรียนรู้ร่วมกับ Uno ศึกประลอง บวก ลบ พบว่า คะแนนตามจุดประสงค์การเรียนรู้นักเรียนได้คะแนนเฉลี่ยร้อยละ 76.32 และจากการทำแบบทดสอบ วัดความรู้หลังเรียน (Post-test) ได้คะแนนเฉลี่ยร้อยละ 83.08 ดังนั้นจึงสรุปได้ว่าแผนการจัดการเรียนรู้ร่วมกับ Uno ศึกประลอง บวก ลบ มีประสิทธิภาพเป็นไปตามเกณฑ์ 75/75
- ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนรู้เรื่องการบวกและการลบไม่เกิน 100,000 ของนักเรียนที่ได้รับการสอนโดยใช้แผนการจัดการเรียนรู้ร่วมกับ UNO ศึกประลอง บวก ลบ หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสําคัญทางสถิติที่ระดับ .05
- ผลความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อแผนการจัดการเรียนรู้ร่วมกับ UNO ศึกประลอง บวก ลบ ในภาพรวมอยู่ในระดับมากที่สุด มีค่าเฉลี่ยเป็น 4.80 0.49 ซึ่งทุกหัวข้อการประเมินมีความพึงพอใจ ในระดับมากที่สุด
คำสำคัญ: UNO; การบวกและการลบไม่เกิน 100,00; เกมการศึกษา
Article Details

อนุญาตภายใต้เงื่อนไข Creative Commons Attribution-NonCommercial-NoDerivatives 4.0 International License.
วารสารคณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏอุตรดิตถ์ เป็นสื่อกลางในการเผยแพร่ผลงานวิจัย งานวิชาการความคิดเห็นใด ๆ ที่ปรากฏในบทความเป็นเพียงความคิดเห็นส่วนบุคคลของผู้เขียนเท่านั้นคณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏอุตรดิตถ์ และกองบรรณาธิการไม่จำเป็นต้องมีความคิดเห็นที่สอดคล้องกับความคิดเห็นที่ปรากฎในบทความแต่อย่างใด และไม่ถือว่าเป็นความรับผิดชอบของคณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏอุตรดิตถ์ และกองบรรณาธิการ
เอกสารอ้างอิง
กระทรวงศึกษาธิการ. (2560). มาตรฐานการเรียนรู้และตัวชี้วัด กลุ่มสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์วิทยาศาสตร์ และสาระ ภูมิศาสตร์ในกลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม (ฉบับปรับปรุงพ.ศ. ๒๕๖๐) ตามหลักสูตรแกนกลาง การศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช ๒๕๕๑. กรุงเทพฯ : โรงพิมพ์ชุมนุมสหกรณ์การเกษตรแห่งประเทศไทย.
ชาคริสต์ ขำศรี. (2564). การวิจัยปฏิบัติการเพื่อพัฒนาการจัดการเรียนรู้ด้วยเกมกระดาน (Board Game) ที่ส่งเสริมมโนทัศน์ทางคณิตศาสตร์ เรื่อง จำนวนเต็ม ของนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปที่ 1 (รายงานการวิจัย). พิษณุโลก: มหาวิทยาลัยนเรศวร
ทิศนา แขมมณี. (2550). การสอนจิตวิทยาการเรียนรู้ เรื่องศาสตร์การสอนองค์ความรู้เพื่อการจัดกระบวนการเรียนรู้ที่มีประสิทธิภาพ. พิมพ์ครั้งที่ 5. กรุงเทพฯ : สำนักพิมพ์แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย.
ทิศนา แขมมณี. (2556). รูปแบบการเรียนการสอน : ทางเลือกที่หลากหลาย. พิมพ์ครั้งที่ 8.กรุงเทพฯ: สำนักพิมพ์แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี.
ภาณุ ลภาพงษ์. (2554). ปัจจัยทางการตลาดที่มีผลต่อการเลือกซื้อการ์ดเกมของผู้บริโภคในเขตอำเภอเมือง จังหวัดนครราชสีมา. (วิทยานิพนธ์ระดับปริญญาโทสาขาบริหารธุรกิจ). นครราชสีมา: บัณฑิตวิทยาลัยมหาวิทยาลัยราชภัฏนครราชสีมา
ภานุวัฒน์ แสงทอง และพล เหลืองรังษี. (2567). การพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนรู้คณิตศาสตร์ เรื่องการบวก ลบ คูณ หารระคน โดยใช้วิธีการจัดการเรียนรู้แบบเกม สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4. วารสารสังคมศาสตร์และวัฒนธรรม, 8(3): 110-119.
ลดาวัลย์ แย้มครวญ. (2559). การออกแบบและพัฒนาเกมเพื่อการเรียนรู้สำหรับวิชาคณิตศาสตร์ชั้นประถมศึกษาปีที่ 6. (วิทยานิพนธ์ระดับปริญญาโทสาขาเทคโนโลยีสารสนเทศ). นครราชสีมา: สาขาวิชาเทคโนโลยีสารสนเทศ สำนักวิชาเทคโนโลยีสังคม มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารี
วิริยะ บุญยะนิวาสน์. (2537). มาพัฒนาการเรียนการสอนกันเถอะกลุ่มทักษะคณิตศาสตร์. วารสารประชากรศึกษา, 44(11), 26–32.
อาภรณ์ ใจเที่ยง. (2553). หลักการสอน. พิมพ์ครั้งที่ 5 กรุงเทพฯ : โอเดียนสโตร์.