การพัฒนาหลักสูตรฝึกอบรมศาสนพิธีกรและจิตอาสานักเรียนโรงเรียนประถมศึกษา ขยายโอกาสทางการศึกษา กลุ่มกระนวน สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา ประถมศึกษาขอนแก่น เขต 4

Main Article Content

ประยูร แสงใส
พระมหาพิสิฐ วิสิฏฐปญโญ
ศรุตานนท์ ชอบประดิษฐ์
อัญชนาพร สอนพร
ศิโรรัตน์ ประศรี

บทคัดย่อ

บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาสภาพความต้องการจำเป็นในการฝึกอบรมศาสนพิธีกรและจิตอาสาแก่นักเรียนโรงเรียนประถมศึกษา 2) สร้างหลักสูตรการฝึกอบรมศาสนพิธีกรและจิตอาสา สำหรับปฏิบัติหน้าที่พิธีกรรมทางศาสนาและจิตอาสาแก่นักเรียนโรงเรียนประถมศึกษา และ 3) ทดลองและประเมินหลักสูตรการฝึกอบรมศาสนพิธีกรและจิตอาสานักเรียน โรงเรียนประถมศึกษา ขยายโอกาสทางการศึกษา กลุ่มกระนวน สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษา ขอนแก่น เขต 4 การศึกษานี้เป็นการวิจัยและพัฒนา กลุ่มตัวอย่างในการวิจัยนี้ แบ่งได้ 2 กลุ่ม ได้แก่ 1) กลุ่มที่ศึกษาสภาพความต้องการจำเป็นในการฝึกอบรมศาสนพิธีกรและจิตอาสาแก่นักเรียนและการสร้างหลักสูตรการฝึกอบรมศาสนพิธีกรและจิตอาสา ประกอบไปด้วย ผู้อำนวยการโรงเรียน ครูผู้สอนกลุ่มสาระฯสังคมศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรม และผู้เชี่ยวชาญด้านหลักสูตร รวมทั้งสิ้น 30 คน 2) กลุ่มที่อยู่ในระยะทดลองและประเมินหลักสูตรการฝึกอบรมศาสนพิธีกรและจิตอาสา ประกอบไปด้วย นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาตอนต้น 37 คน วิเคราะห์ข้อมูลด้วย ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย และ ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และเชิงพรรณนา ผลการศึกษา พบว่า 1) ความต้องการจำเป็นในการจัดการเรียนรู้เพื่อฝึกอบรมศาสนพิธีกร และจิตอาสาแก่นักเรียน โดยภาพรวม อยู่ในระดับมาก 2) ผลการประเมินการพัฒนาหลักสูตรฝึกอบรมศาสนพิธีกรและจิตอาสาสำหรับนักเรียน องค์ประกอบหลักสูตร ได้แก่ ด้านจัดมุ่งหมาย ด้านเนื้อหา ด้านกิจกรรมการเรียนรู้ ด้านการประเมินผล และแผนการจัดการเรีนรู้ โดยภาพรวม อยู่ในระดับมาก 3) ผลการเปรียบเทียบค่าเฉลี่ยคะแนนความรู้ก่อนและหลังการจัดการเรียนรู้ศาสนพิธีกรและจิตอาสา พบว่า คะแนนเฉลี่ยหลังการจัดการเรียนรู้สูงกว่าคะแนนเฉลี่ยก่อนการจัดการเรียนรู้ ซึ่งแตกต่างอย่างมีนัยสําคัญที่ระดับ 0.05 4) ผลการประเมินภาคปฏิบัติเกี่ยวกับศาสนพิธีกรของนักเรียน พบว่า โดยภาพรวมอยู่ในระดับคะแนนที่สูง ส่วนผลการประเมินภาคปฏิบัติเกี่ยวกับจิตอาสาของนักเรียน พบว่า นักเรียนมีทัศนคติต่อเรื่องจิตอาสา โดยภาพรวมอยู่ในระดับคะแนนที่สูง 5) ความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อการจัดการเรียนรู้ศาสนพิธีกรและจิตอาสาสำหรับนักเรียน โดยภาพรวม อยู่ในระดับมาก

Article Details

รูปแบบการอ้างอิง
แสงใส ป., วิสิฏฐปญโญ พ., ชอบประดิษฐ์ ศ., สอนพร อ., & ประศรี ศ. (2025). การพัฒนาหลักสูตรฝึกอบรมศาสนพิธีกรและจิตอาสานักเรียนโรงเรียนประถมศึกษา ขยายโอกาสทางการศึกษา กลุ่มกระนวน สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา ประถมศึกษาขอนแก่น เขต 4. วารสารการจัดการองค์กร และพัฒนาสังคม, 5(2), 131–140. สืบค้น จาก https://so17.tci-thaijo.org/index.php/JOMSD/article/view/1516
ประเภทบทความ
บทความวิจัย

เอกสารอ้างอิง

ณัฐวัชร โปณะทอง, บรรจง เจริญสุข และญาณิศา บุญจิตร์. (2566). รูปแบบการจัดกิจกรรมจิตอาสาของโรงเรียนในศูนย์เครือข่ายการศึกษา พุนพิน 4 (ศรีวิชัย) จังหวัดสุราษฎร์ธานี. วารสารวิชาการมหาวิทยาลัยราชภัฏเพชรบุรี, 13(2), 54–61.

เทศบาลเมืองกระนวน. (2567). ข้อมูลศาสนสถานในเขตเทศบาลเมืองกระนวน. สืบค้นจาก https://kranuancity.go.th/public/list/data/index/menu/1142.

พระอนันตศักดิ์ กุสลจิตฺโต, ธงไชย สุขแสวง, สิริพัฒถ์ ลาภจิตร และอิทธิวัตร ศรีสมบัติ. (2567). การพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนเรื่องศาสนพิธี กลุ่มสาระการเรียนรู้ สังคมศึกษาศาสนา และวัฒนธรรม นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 โดยการจัดการเรียนรู้แบบ Active Learning. วารสารวนัมฎองแหรกพุทธศาสตรปริทรรศน์, 11(1), 115–128.

วริศนันท์ เดชปานประสงค์, มนูญพงศ์ ชัยพันธุ์, สุรศักดิ์ ปาเฮ และฤทัยกานต์ อ่อนละออ. (2568). จิตสาธารณะ: คุณลักษณะอันพึงประสงค์ที่ต้องปลูกฝังลงในจิตสำนึกของเยาวชนไทย. วารสารวิชาการสถาบันเทคโนโลยีแห่งสุวรรณภูมิ, 11(1), 376-385.

สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ. (2567). เป้าหมายที่ 16 : ส่งเสริมสังคมที่สงบสุขและครอบคลุมเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน ให้ทุกคนเข้าถึงความยุติธรรม และสร้างสถาบัน ที่มีประสิทธิผล รับผิดชอบ และครอบคลุมในทุกระดับ. สืบค้นจาก https://sdgs.nesdc.go.th/goal-16/.

Epstein, J. L., & Dauber, S. L. (2016). Effects on students of an interdisciplinary program linking social studies, art, and family volunteers in the middle grades. In Cognitive and Moral Development, Academic Achievement in Adolescence (pp. 318-348). Oxfordshire: Routledge.

Moore, C. W., & Allen, J. P. (1996). The effects of volunteering on the young volunteer. Journal of Primary Prevention, 17(2), 231-258.